ชาวบ้านทั่วไปพูดกันว่า “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังซบเซาขณะนี้ มีปัจจัยแทรกซ้อนหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 30 ปีหรืออาจถึง 50 ปี ทุกภาคของประเทศโดนภัยแล้งถล่มโดยถ้วนหน้า แม้แต่กรุงเทพมหานคร ยกเว้นเพียงภาคใต้ที่มีฝนตกเกือบทั้งปี
เท่านั้นยังไม่พอ ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยแทรกซ้อนตัวใหม่ นั่นก็คืออาจเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน กลายเป็นสงครามตะวันออกกลาง หรืออาจขยายกลายเป็นสงครามโลก หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ สั่งยิงถล่มด้วยโดรนสังหารพลเอกกาเซม โซไลมานี แม่ทัพคนสำคัญของอิหร่านกับคณะ
อาจกลายเป็นสงครามครั้งใหม่ ในขณะที่ชาวโลกกำลังมีความหวังว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะคลายความร้อนแรงลง หลังจากที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกอยู่ในภาวะร่อแร่ แต่กลับถูกซ้ำเติมด้วยการสังหารแม่ทัพอิรัก ที่อาจกลายเป็นสงคราม ทั้งสงครามการค้าและสงครามอิหร่าน เป็นฝีมือของบุรุษที่ชื่อโดนัลด์ ทรัมป์
สงครามการค้ามีลักษณะเป็นสงครามเย็น ไม่มีการยิงปืนแม้แต่นัดเดียว แต่ถ้าเกิดสงครามสหรัฐฯ-อิหร่าน จะกลายเป็นสงครามร้อน เพราะทั้งสองประเทศต่างมีอาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง แม้ไทยจะไม่ได้เข้าข้างใด ก็ต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากสงครามทำให้ราคาน้ำมันพุ่งและควบคุมไม่ได้
โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของคำขวัญ “จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” อ้างว่าการสังหารแม่ทัพอิหร่านเป็น “การป้องกันตนเอง” เนื่องจากโซไลมานีเป็นมหาภัยต่อชีวิตนักการทูตและเจ้าหน้าที่อเมริกัน ชาวโลกหวังว่าสหประชาชาติจะสลัดคราบ “เสือกระดาษ” ทิ้งไป กลายเป็น เสือตัวจริง ที่ระงับยับยั้งสงครามได้
...
ถ้าเกิดสงครามยกใหม่ เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้ว จะย่ำแย่ยิ่งขึ้น แม้จะไม่ถูกซ้ำเติมด้วยภัยสงคราม แต่ความหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจลืมตาอ้าปากได้ในปี 2563 ก็ยังมืดมน เพราะปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ อันได้แก่การลงทุน การบริโภคจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชน การส่งออก และการใช้จ่ายภาครัฐยังเหมือนเดิม
ปีใหม่ 2563 นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะโต 3.6% ส่วนเศรษฐกิจไทย สภาพัฒน์คาดว่าจะขยายตัว 2.8% ดีกว่าปี 2562 เล็กน้อย ที่โต 2.6% นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังบางท่านฟันธงว่าเศรษฐกิจปีกลายเป็นอย่างไร ปีนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ภัยแล้ง และสงครามจะทำให้ทรุดหนัก.