สวัสดีปีใหม่พุทธศักราช 2563 นะครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพ ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านผู้อ่านเคารพนับถือ จงดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ อยู่ดีกินดี มั่งมีศรีสุข โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายอย่าได้มาเยือน ตลอดปี 2563 และตลอดไปตลอดกาลนาน
ที่ต้องอวยชัยให้พรกันอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยดลบันดาลและคุ้มครองป้องกันควบคู่ไปด้วย ก็เพราะมีเสียงพูดกันหนาหูว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยอาจจะหนักกว่าปีนี้
ถึงกับหยิบวาทกรรมที่เคยฮิตมากๆในอดีตกลับมาใช้กันอีกครั้งในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา
นั่นก็คือวาทกรรมที่ว่า “ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง” ซึ่งมีความหมายในทำนองว่าปีนี้ว่าแย่แล้ว แต่ปีหน้าจะยิ่งกว่าว่างั้นเถอะ
ถ้าผมจำไม่ผิด ผู้ที่หยิบสำนวนหรือวาทกรรมนี้มาใช้เป็นครั้งแรกก็คือ คอลัมนิสต์ข่าวสังคมหน้า 4 ของไทยรัฐเรานี่แหละ ในช่วงที่ประเทศไทยของเราเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก เป็นโรค “ต้มยำกุ้ง” ถึงขั้นบริษัทห้างร้านล้มระเนระนาด ปิดตัวเองไปเป็นอันมาก
ในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั่นแหละครับ ที่เกิดสำนวนนี้ขึ้นจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
ยามใดที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว เริ่มมีปัญหาคนตกงาน สินค้าขายไม่ออก วาทกรรมนี้ก็จะกลับมาใหม่ทันที
ดังที่กำลังกลับมาและเผยแพร่ไปทั่วว่าเศรษฐกิจปี 2563 หรือปีนี้ “เผาจริง” แน่นอน ขอให้เตรียมตัวรับมือกันไว้ด้วย
โดยส่วนตัวผมไม่ชอบวาทกรรมนี้เลยครับ มันเหมือนแช่ง
หรือมองประเทศชาติในเชิงไม่ให้เกียรติอย่างไรก็ไม่รู้ซี
เพราะไปเปรียบประเทศไทยของเราเหมือนคนตายหรือผู้ถึงแก่กรรมแล้ว ที่ต้องมีพิธีเผาทั้งหลอกและจริงที่เราเห็นตามวัดต่างๆทั่วประเทศ
...
ผมจึงเห็นด้วยกับข้อคิดในคอลัมน์หน้า 1 ฉบับส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวาคม 2562 “จากใจไทยรัฐสู่ผู้อ่าน” ที่เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า วาทกรรม เผาหลอกเผาจริง เป็นคำกล่าวแบบคะนองปากไปเท่านั้น
เพราะในความเป็นจริงเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่มีวันล้มตายได้ง่ายๆ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยตาย
มีแค่บาดเจ็บเป็นหวัดเป็นไข้บ้าง เมื่อผ่าตัดหรือกินยารักษาแล้ว
ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เดินหน้าฉิวมาได้จนถึงทุกวันนี้
ผมเห็นด้วยเพราะเคยเป็นชิ้นส่วนเล็กๆในกลไกฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังลดค่าเงินบาท เมื่อปี 2527 ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะบาดเจ็บพอสมควร
แต่ด้วยโครงการเฉพาะกิจประมาณ 20 กว่าโครงการ ภายใต้คำขวัญ “มุ่งประหยัด เร่งรัดนิยมไทย ร่วมใจส่งออก” ที่ป๋าประกาศวันปีใหม่ 2528 ที่ สภาพัฒน์ ร่วมกับ แบงก์ชาติ จัดดำเนินการก็สามารถรักษาเยียวยาอาการบาดเจ็บครั้งนั้นได้สำเร็จ
ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยพุ่งฉิวปลิวลมกลายเป็น “เสือตัวใหม่” แห่งเอเชีย จากการยกย่องทั้งนิตยสาร ไทมส์ และ นิวส์วีค ใน พ.ศ.นั้น
มาถึงยุควิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” พ.ศ.2540 หลังผมลาออกจากราชการแล้ว 4-5 เดือน ไม่มีส่วนในการร่วมแก้ปัญหาแต่อย่างใด
จำได้ว่าเราโดนเคี่ยวกรำอย่างหนัก ถูกจับเข้าโรงเรียนไอเอ็มเอฟซึ่งโหดพอๆกับโรงเรียนดัดสันดานในอดีต แต่ในที่สุดเราก็ผ่านมาได้
มีผู้คนบาดเจ็บล้มละลายไปบ้าง ฆ่าตัวตายไปจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มากนัก ในขณะที่คนที่ยอมมีชีวิตอยู่และประกาศว่า “ไม่ใช้แต่ก็ไม่หนี” มาถึงเดี๋ยวนี้กลับมาร่ำรวยเหมือนเดิมหลายต่อหลายคน
โรค “ต้มยำกุ้ง” เป็นโรคที่หนักที่สุดที่ประเทศไทยเผชิญในรอบ 80-90 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเราก็ยังเอาตัวรอดได้
ผมจึงมั่นใจว่าอาการเป็นไข้ปวดหัวตัวร้อนนิดหน่อยที่เกิดขึ้น
ขณะนี้ไม่ถึงขั้นจะทำให้เศรษฐกิจไทยล้มตายไปได้หรอกครับ
ดังนั้น หากจะเลิกใช้คำว่า “เผาหลอก” หรือ “เผาจริง” กันเสียได้ก็จะขอบคุณยิ่ง
สรุป ไม่เชื่อมั่นบิ๊กตู่ ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร ผมเองบางครั้งก็ชักไม่เชื่อท่านอยู่เหมือนกัน
แต่ต้องเชื่อมั่นในประเทศไทยของเราครับ ประเทศนี้แข็งแกร่งครับ ไม่มีวันตายง่ายๆ เชื่อแป้ง เอ้ย เชื่อ “ซูม” เถอะ
สวัสดีปีใหม่ 2563 นะครับ.
“ซูม”