อย่าว่าแต่เรื่อง “กลเมืองว่าง” ที่ขงเบ้งใช้ไล่สุมาอี้หนีกระเจิง ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่ล่อกวนตงแต่ง แม้เป็นเรื่องแต่ง ที่คัดลอกบอกต่อๆกันมา 6–7 ร้อยปี เครื่องดนตรีที่ขงเบ้งใช้ ก็ไม่แน่ว่า “ชนิดใดกันแน่”

สามก๊กฉบับเจ้าพระยาคลัง “หน” คนจีนฮกเกี้ยนผสมแต้จิ๋วช่วยกันแปล ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เครื่องดนตรีที่คุ้นชื่อคุ้นหูคนไทย คือ “ขิม”

อ่านสามก๊กแปลฉบับเดียว แล้วจินตนาการ ขงเบ้ง นั่งวางมาดนิ่ง มือจับไม้ไล่เลียงนิ่มนวล ท่วงท่างามสง่า สบายอกสบายใจ ฝ่ายสุมาอี้ที่กำลังฮึกเหิมเหี้ยมหาญ เห็นเข้าก็ชะงัก

แต่เมื่อผมอ่าน “พิชัยสงครามสามก๊ก” ฉบับที่คุณสังข์ พัฒโนทัย คนใกล้ชิดจอมพล ป.แต่งในคุก ภาพขงเบ้งตอนนี้เปลี่ยนไป กลายเป็น “ขงเบ้งเป่าขลุ่ย”

ท่วงท่าเป่าขลุ่ย...บอกอารมณ์สบายๆ สง่างามไม่เท่า ตีขิม แต่ก็ทิ้งคำถามให้สงสัย คนเก่งจีนแปลก็แปลเหมือนๆกัน แล้วยังไงกันแน่

หัวหน้ากองเก่าของผม คุณสมิต มานัสฤดี ส่งแผ่นพับเล่าเรื่อง เครื่องดนตรีที่ขงเบ้งใช้ มาให้อ่าน ได้ความรู้ใหม่ แตกหน่อขยายกอออกไป เครื่องดนตรีที่ผู้ดีสมัยสามก๊กนิยมเล่น มีสองอย่าง กู่เจิง และกู่ฉิน

“กู่เจิง” นั้น ขนาดใหญ่กว่ายาวกว่า คนเก่งๆดีดทำเสียงได้ น้องๆ เปียนโนฝรั่ง สายที่ใช้ก็มากกว่า นิยมเล่นในห้องกว้าง ลองมโนตามเสียงกู่เจิงจากเชิงเทิน คงก้องกังวาลไปเข้าหูสุมาอี้ได้มากกว่า

เพราะถ้าเป็น “กู่ฉิน” เครื่องดนตรีขนาดเล็กกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า ปราชญ์สมัยสามก๊ก นิยมกันเป็นหนึ่งในสามชุดวิชา เขียนพู่กัน วาดภาพ และเล่นดนตรี โอกาสที่ขงเบ้งจะใช้กู่ฉิน จึงมีน้อยกว่ากู่เจิง

ผู้รู้รุ่นต่อๆมา คงต้องทำหน้าที่สืบสาวให้ถึงต้นตอ ล่อกวนตง เขียนต้นฉบับไว้ยังไง แต่ที่แน่ๆ ที่แปลเป็นไทย ทั้งขิมทั้งขลุ่ย...ไม่น่าจะใช่เลย

...

แต่สาระที่คนรุ่นหลัง ได้จากสามก๊ก ไม่ว่าจะได้จากประวัติศาสตร์ ที่ถูกวิจารณ์ว่ามีอคติ เพราะเขียนโดยลูกชายคนใกล้ตัวขงเบ้ง เขียนถวายพระเจ้าโจผี

หรือจากเรื่องแต่ง ที่เอาสีสันเอามันเข้าว่า คนอ่านก็สามารถมโนเอามาใช้ เท่าที่จะอยากใช้

การต่อสู้ทางการเมืองช่วงหนึ่ง ทั้งตำรวจทั้งทหารพราน เคยยกพลบุกบ้านอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช ในซอยสวนพลู อาจารย์หม่อมท่านก็งัด “กลเมืองว่าง” ออกมาใช้

อาจารย์หม่อม นั่งเขียนคอลัมน์ “ซอยสวนพลู” ท่าทีปลอดโปร่งใจ เป็นทีบอก “กูไม่กลัวมึง”

กระทั่งการเมืองตอนนี้ วันที่มีกระทู้ถามนายกฯประยุทธ์ ขอคำชี้แจงเรื่องการถวายสัตย์ฯ นายกฯท่านก็มีราชการด่วน เช่นชักเย่อกับเด็กโรงเรียนสอนคนตาบอด เตะฟุตบอลกับเด็ก

ผลก็คือทีมคนแก่เอาชนะเด็กไปได้ ด้วยชั้นเชิงที่แพรวพราวกว่า ลำหักลำโค่นก็เหนือกว่า ผมดูข่าวทีวีแล้ว ก็รู้สึกว่า “เข้าท่า” เรียกรอยยิ้มได้ แล้วพยายามคิดว่า นายกฯจะหาอะไรมาเล่น ขัดตาทัพไปเรื่อยๆ

นี่ก็ได้ข่าว ท่านมีคิวจะไปดูฝนแล้ง 20 จังหวัดอีสาน ปัญหาฝนแล้งมีมาก กระบวนการแก้ปัญหาก็มาก

แต่หากท่านใช้ปัญญา เห็นว่า บ้านเมืองของเรา ฝนตกหนักก็น้ำท่วม ฝนตกน้อยก็แล้งมาก ยืนยันว่า ต้นทุนน้ำของเรายังเหลือเฟือ แต่ขาดการบริหารจัดการที่ลงตัว

หลายแห่งที่แล้งน้ำ ท่าไม้ตายสุดท้าย ก็ขุดน้ำบาดาลใต้ดิน

ผมเคยได้ยินคำ “ธนาคารน้ำใต้ดิน” จากปากคุณรุ่งโรจน์ ผู้บริหารใหญ่ เอสซีจี ตอนนั้นยังคิดว่า “ฝันไกล” มาถึงตอนนี้เริ่มได้คิดว่า ถ้า “ธนาคารน้ำใต้ดิน” ไม่ใช้เงินมาก กระบวนการไม่ยุ่งยากเกินไปทำได้ก็ยิ่งดี

ข่าวเมืองไทยเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ แต่ชาวบ้านแย่งน้ำจนทะเลาะกัน ได้ยินไปถึงไหน ก็อายไปถึงนั่น ใครมาเป็นรัฐบาลก็เสียรังวัด ถูกเหมาเอาว่าบ่มิไก๊

โอกาสมาถึงแล้ว ทำแต้ม “ธนาคารน้ำใต้ดิน” สะสมเอาไว้ เดี๋ยวคนก็ลืมเรื่องถวายสัตย์ฯไปเอง.

กิเลน ประลองเชิง