วันนี้ “วันคริสต์มาสอีฟ” ตลาดหุ้นหลักทั่วโลก นิวยอร์ก ลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต เปิดซื้อขายเป็นวันสุดท้ายก่อนปิดวันพรุ่งนี้ เพื่อฉลอง “วันคริสต์มาส” ท่ามกลางขวัญผวาของนักลงทุนทั่วโลก เพราะสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงแรงต่อเนื่อง 4 วันรวด ตั้งแต่ จันทร์ที่ 17 ร่วงไปกว่า 508 จุด อังคารที่ 18 บวกขึ้นไป 83 จุด พุธที่ 19 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พิจารณาดอกเบี้ย ร่วงไปอีกกว่า 352 จุด พฤหัสบดีที่ 20 รู้ผลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ร่วงไปอีกกว่า 467 จุด
ศุกร์ที่ 21 ร่วงไปอีกกว่า 414 จุด สัปดาห์เดียวดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงไปกว่า 1,658 จุด ปิดที่ 22,445.37 จุด
ถือเป็น สัปดาห์ที่หุ้นดาวโจนส์ร่วงหนักที่สุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ตุลาคม 2008 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นอื่นๆร่วงตาม เช่น ดัชนีหุ้นนิเกอิ ร่วงไปกว่า 17% แล้วในปีนี้ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ร่วงไปกว่า 20% ตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น ร่วงไปกว่า 30%
ตลาดหุ้นไทย SET ก็ร่วงหนักไม่น้อยหน้าใคร ปีนี้ร่วงไปแล้ว 13.25% จากจุดสูงสุด 1,838.96 จุด เหลือ 1,595.33 จุดเมื่อวันศุกร์ โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายตลอดครึ่งปีหลังจนถึงวันศุกร์ที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิกว่า 286,500 ล้านบาท ยังไม่รู้สัปดาห์นี้จะร่วงต่อหรือผงกหัวส่งท้ายปี เกจิหุ้นที่ฝันหวานจะมีรายการ “วินโดว์เดรสซิ่ง” ดันราคาหุ้นส่งท้ายปี ปีนี้กินแห้วไปตามๆกัน เพราะมันร่วงอย่างเดียว ดันไม่ไหว
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ครึ่งปีแรกปีนี้ ราคาหุ้นโลกเด้งขึ้นยกแผงด้วยข้อมูลบวกสารพัด จนทำลายสถิติเดิมทุกสถิติ ทำให้ 500 เศรษฐี พันล้านดอลลาร์ขึ้นไปของดัชนีบลูมเบิร์ก มีความมั่งคั่งรวมกันทำลายสถิติใหม่พุ่งขึ้นไปถึง 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ 184.8 ล้านล้านบาท แต่หลังปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมา ความมั่งคั่งของ 500 มหาเศรษฐีบลูมเบิร์กลดเหลือ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ 155.1 ล้านล้านบาท
...
เห็นตัวเลขแล้วก็ใจหาย ปี 2018 นับถึงวันศุกร์ที่แล้ว ความมั่งคั่งของ 500 มหาเศรษฐีบลูมเบิร์กหายวับไปกับตลาดหุ้นถึง 29.7 ล้านล้านบาท เกือบสองเท่าของมูลค่าตลาดหุ้นไทยเลยทีเดียว มาร์เกตแคปของ SET เมื่อวันศุกร์ปิดที่ 16.22 ล้านล้านบาท เช่น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของ เฟซบุ๊ก ความมั่งคั่งปีนี้หายไปมหาศาลถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ 759,000 ล้านบาท มีเพียง เจฟฟ์ เบซอส เจ้าของหุ้น อเมซอน ที่ยังเก่งที่สุด ความมั่งคั่งสุทธิปีนี้บวกอยู่ 16,000 ล้านดอลลาร์ 528,000 ล้านบาท
ส่วน มหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ขึ้นไปในเอเชีย ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 128 คน สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงาน ปีนี้ความมั่งคั่งหดหายไปรวมกัน 144,000 ล้านดอลลาร์ 4.75 ล้านล้านบาท หนักสุดก็คือนายหวัง เจียนหลิน เจ้าของแวนด้ากรุ๊ป ประเทศจีน ความมั่งคั่งหายไป 11,100 ล้านดอลลาร์ 366,300 ล้านบาท
เศรษฐีหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคาดว่าความร่ำรวยลดลงไปไม่น้อย จาก ดัชนีราคาหุ้นที่ร่วงลงไปต่ำกว่า 1,600 จุด โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดราคาร่วงกันระนาว
แวดวงตลาดหุ้นไทย คาดกันด้วยความหวังว่าครึ่งปีหลังของปี 2562 หลังจากมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งแล้ว เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาไทย เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย เศรษฐกิจไทยก็เติบโตถึง 4% แต่ผมคิดว่าคงจะต้อง “ดูหน้าตาของรัฐบาลบิ๊กตู่ใหม่” ว่า จะพอไปวัดไปวาได้ไหม หรือ ขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดไหน เพราะ พรรคพลังประชารัฐ ที่จะเป็น แกนนำรัฐบาลใหม่ มีนักการเมืองเขี้ยวลากดินจากพรรคไทยรักไทยเก่าและเพื่อไทย เข้าไปร่วมเป็นแกนนำมากมาย ตีตราจองเก้าอี้รัฐมนตรีกันล่วงหน้ากันแล้ว แต่ละคนล้วนมีประวัติที่น่ากลัวทั้งนั้น
ปีหน้าแม้จะ มีการเลือกตั้ง มีโครงการลงทุนในอีอีซีมากมายก็ใช่ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกจะแห่กันเข้ามาลงทุนอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
เขาต้องดู “หน้าตารัฐบาล” ด้วยว่า มีโหงวเฮ้งดีพอที่จะตัดสินใจลงทุนหรือไม่.
“ลม เปลี่ยนทิศ”