แม้ผมเติบโตมากับสวนมะพร้าว แต่ก็คุ้นกับต้นข้าว แม่เคยทำนาในท้องร่อง เก็บข้าวในยุ้งหลังบ้าน เคยสีข้าวด้วยเครื่องสีข้าวใต้ถุนบ้าน ตำข้าว ฝัดข้าว รู้จักหุงข้าว สมัยที่ยังต้องเช็ดน้ำข้าว แบ่งให้หมา
ตอนนั้น ยังไม่รู้ว่า นาข้าวในท้องร่อง เรียกนาอะไร
ในหนังสือข้าวปลาหมาเก้าหาง (สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2546) สุจิตต์ วงษ์เทศ เขียนไว้ในคำนำเสนอ ตอนหนึ่งว่า ยุคแรกเริ่มของภูมิภาคอุษาคเนย์ คนทุกเผ่าพันธุ์กินข้าวป่า ตระกูลข้าวเหนียวมาก่อน
การพบแกลบข้าวเหนียวอยู่ในแผ่นอิฐ ตามศาสนสถานยุคทวารวดีทั่วไทย ตั้งแต่สุโขทัย นครปฐม ไปถึงนครศรีธรรมราช แสดงว่าคนกินข้าวเหนียวตั้งแต่เหนือจดใต้
ราว พ.ศ.1500 มีพันธุ์ข้าวเมล็ดเรียวยาวจากอินเดีย แพร่เข้ามาพร้อมพระสงฆ์ พราหมณ์ และพ่อค้า เป็นที่นิยมก่อนในกลุ่มชนชั้นสูงของรัฐลุ่มเจ้าพระยา จึงเรียกว่าข้าวเจ้า หมายถึงข้าวที่เจ้าเสวย
ไม่นานก็แพร่กระจายทั่วไปในชุมชนหมู่บ้าน ข้าวเจ้าก็กลายเป็นข้าวไพร่ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อ
การปลูกข้าวสมัยแรกๆมีสองอย่าง นาลุ่ม กับ นาดอน
นาลุ่ม เป็นนาน้ำฝน ทำนาด้วยวิธีหว่านพันธุ์ข้าวลงบริเวณน้ำท่วมถึง ภายหลังจึงรู้จักทดน้ำไว้หล่อเลี้ยง ทั้งหมดนี้มีชื่อเรียกในจารึกว่า นาทางฟ้า
นาดอน ใช้ไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมแทงดินเป็นรู หยอดพันธุ์ข้าวลงไปแล้วเอาดินกลบ รอน้ำค้างน้ำฝนโปรยลงมา จึงมีอีกชื่อเรียกว่า นาน้ำค้าง
ผมชอบชื่อ “นาน้ำค้าง” มาก ฟังโรแมนติก อยากเรียกนาในท้องร่องสวนมะพร้าวแม่ผมว่า “นาน้ำค้าง”
บางขั้นตอนคล้ายกัน...นาข้าวของแม่ ซื้อพันธุ์ข้าวมาปลูกพองามได้ที่ ใช้ดุ้นไม้กระถินเสี้ยมปลายแหลม แทงลงดินท้องร่องตอนน้ำแห้ง... แล้วก็เอาต้นข้าวยัดตามลงไป
อาศัยทั้งน้ำค้าง น้ำฝน กระทั่งน้ำจากลำคลองที่ขึ้นลงๆ กว่าต้นข้าวจะโตจนออกรวง
...
สุจิตต์ วงษ์เทศ บอกคนยุคสามพันปีมาแล้ว พวกที่สูง “เฮ็ดไร่” พวกที่ลุ่ม “เฮ็ดนา”
พวกเฮ็ดไร่ อาศัยในป่าเขา มีแหล่งเพาะปลูกน้อย เริ่มทำด้วยการเอาไฟเผาป่าให้ราบเป็นแปลง ไม่ต้องพรวนไม่ต้องไถ เอาไม้ปลายแหลมแทงดินให้เป็นรู เอาเมล็ดข้าวหยอดลงทีละรูๆ ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม
ได้ข้าวแล้ว ก็เปลี่ยนทำเลหาแปลงข้าวใหม่ เผาป่าไปเรื่อยๆ เป็นนาข้าวของสังคมแบบชนเผ่า
พวกเฮ็ดนา อยู่ในที่ราบลุ่มหุบเขา ลุ่มแม่น้ำที่มีลำคลองหนองบึง ชายฝั่งทะเล ข้าวที่ใช้เป็นพันธุ์ข้าวป่า หว่านลงบนที่ราบน้ำท่วมถึง ปล่อยข้าวเติบโตเองจนได้เวลาเก็บเกี่ยว เรียกการทำนาแบบนี้ นาน้ำท่วมถึง
ต่อมาก็มีการชักน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยง ทำให้โคลนหรือตะกอนเข้ามาทับถมกลายเป็นปุ๋ย ที่ดินจึงอุดมสมบูรณ์ทุกปี ไม่ต้องโยกย้ายไปหาพื้นที่เพาะปลูกใหม่
พวกทำนาแบบนี้ จึงมีผู้คนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็พัฒนาจากหมู่บ้าน เป็นเมือง แล้วก้าวหน้าเป็นรัฐ เช่น รัฐทวารวดี เป็นอาณาจักรเช่น อยุธยา กำเนิดของอาณาจักรทั้งหลาย ได้มาจากข้าวนี่เอง
ถ้าเอาวิธีทำนา ทั้งแบบเฮ็ดนา เฮ็ดไร่ นาข้าวในท้องร่องสวนมะพร้าวของแม่ ก็คงเป็นนาผสม เพราะเลือกวิธีทั้งไร่ทั้งนามาใช้...จะเรียกให้เต็มปากสักอย่าง เหมือนนาน้ำค้าง ก็ไม่ได้
ผมรู้จักข้าวเหนียว ข้าวเจ้า มากขึ้น รู้ว่าข้าวเหนียวเดิมเป็นข้าวชาวบ้านกิน ข้าวเจ้าเดิมเจ้าเสวย ต่อมาเมื่อแพร่หลาย ไพร่ก็มีสิทธิเปิบเข้าปากได้ ไม่มีบทลงโทษ
ข้าวเหนียวกินแล้วอิ่มท้องกว่า ข้าวเจ้ากินแล้วหิวเร็วกว่า แต่ผลก็ลงเอย คืออิ่มเหมือนๆกัน
นึกถึงบทเพลง จุดเทียนเวียนวน ท่อนหนึ่ง ที่ มานี มณีวรรณร้อง...ข้าวเหนียวข้าวเจ้า มันก็ข้าวเหมือนกัน
แล้วก็นึกเลยถึงการเมือง จะเผด็จการหรือประชาธิปไตย ผลก็คือ คนไทยก็ยังจนเหมือนๆกัน รักใครชอบใจ ก็เลือกๆไปเถิด ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำ คงไม่สูงต่ำดำขาวกว่ากันสักเท่าใดหรอกพ่อเจ้าประคุณ.
กิเลน ประลองเชิง