เรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ ประเทศไทยเลือกตั้งมาแล้วไม่รู้กี่สิบครั้ง แต่บัตรเลือกตั้งไม่เคยเป็นปัญหา เพิ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในยุครัฐบาล คสช. และยุคคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มาจากการสรรหาและแต่งตั้งโดยแม่น้ำ 5 สายของ คสช. เนื่องจากจะให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเดียวกันแต่คนละเบอร์ ไม่มีชื่อและสัญลักษณ์ของพรรค

ต้นตอของปัญหามาจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกทั้ง “คน” คือ ส.ส.เขต และเลือกทั้ง “พรรค” คือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต่างจากครั้งก่อนๆที่มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบหนึ่ง “เลือกคน” คือ ส.ส.เขต ใบที่ 2 เลือก “พรรค” คือ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่เข้าใจง่าย เลือกง่าย ไม่สับสน และคนไทยคุ้นชิน

ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวยังไม่พอ ยังจะตัดชื่อพรรคและโลโก้พรรคออกจากบัตรเลือกตั้ง บางคนอ้างว่าบัตรเลือกตั้งแบบเดิมก็ไม่มีชื่อและโลโก้พรรค แต่บัตรที่ไม่มีชื่อกับโลโก้พรรค เป็นบัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขตไม่จำเป็นต้องมีชื่อกับโลโก้พรรค เพราะมีอยู่แล้วในบัตรเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อแต่คราวนี้มีบัตรใบเดียว ซ้ำยังจะไม่มีชื่อและสัญลักษณ์ของพรรค

จึงน่าเป็นห่วงว่าจะก่อความสับสน ทั้งในพรรคการเมืองและประชาชนผู้เลือกตั้ง จะกลายเป็นว่าผู้สมัครพรรคเดียวกันแต่ได้คนละเบอร์ แต่ผู้สมัครต่างพรรคจะได้เบอร์ซ้ำกับผู้สมัครพรรคอื่นแต่คนละเขต จนก่อความสับสนกาผิดกาถูก ต้องการผู้สมัครคนหนึ่ง แต่กาบัตรให้อีกคน หรือชอบพรรค ก. แต่อาจกาบัตรเลือกคนพรรค ข.

มีเสียงเรียกร้องจากพรรคการ เมืองหลายพรรค ให้ กกต.แก้ไขกฎหมายเพื่อความสะดวกในการลงคะแนน และลดความสับสน โดยให้ระบบพรรคเดียวกัน เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ และใส่ชื่อและสัญลักษณ์พรรคเพื่อให้จำง่าย รวมทั้งขอให้ คสช.หยุดแทรกแซงการจัดการเลือกตั้งของ กกต. และเสนอให้รัฐบาลมีสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่ใช่รัฐบาลอำนาจเต็ม

...

การแก้ไขกฎหมายให้เป็นระบบพรรคเดียวเบอร์เดียวทั้งประเทศ หาก กกต.เห็นด้วยก็น่าจะขอความร่วมมือจากรัฐบาลหรือ คสช. ขอให้ใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับที่ คสช.เคยทำมาแล้วหลายเรื่อง แต่การแก้ไขปัญหาบัตรเลือกตั้งไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงของ คสช. เพราะเป็นข้อเสนอของ กกต. ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม

ส่วนการให้รัฐบาลมีสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ แม้ กกต.จะเสนอแนะ แต่รัฐบาลก็คงไม่ยอมรับ เพราะจะกระทบอำนาจรัฐบาลที่สำคัญ ในช่วงเวลาสำคัญ นั่นก็คืออำนาจในการหว่านโปรยงบประมาณจากภาษีประชาชน เพื่อแจกจ่ายให้คนกลุ่มต่างๆ ในช่วงฤดูการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าเป็นนโยบายที่คิดมานานแต่เพิ่งเสร็จในช่วงนี้ เป็นอภินิหารแห่งความบังเอิญ.