ในด้านการตลาดการเมือง ต้องถือว่าพรรคอนาคตใหม่ประสบความสำเร็จในการสร้างชื่อให้บรรดาแฟนๆรู้จักอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ก่อตั้งพรรค คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนักธุรกิจหนุ่มระดับเศรษฐี เจ้าของฉายา “ไพร่หมื่นล้าน” ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคนสำคัญ คือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นอาจารย์สอนกฎหมายจาก “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่มีชื่อเสียงในวงการ

อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พรรคอนาคตใหม่ดังเร็ว เพราะคณะผู้ก่อตั้งเป็นคนรุ่นใหม่ และบางคนเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยผู้ก่อตั้งพรรครวมกันประกาศนโยบาย เชิดชูและเทิดทูนคุณค่าประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน สร้างเศรษฐกิจก้าวหน้าและเป็นธรรม สร้างพลังใหม่ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยให้ทุกคนเห็นร่วมกันว่าจะทำให้เป็นประชาธิปไตยได้

พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทย เคยมีพรรค การเมืองของคนรุ่นใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นมาแล้ว ตัวอย่างเช่น พรรคพลังใหม่และพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ที่เกิดขึ้นในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในขณะที่กระแสสังคมนิยมมาแรง ทั้งสองพรรคประสบความสำเร็จระดับ หนึ่ง แต่อยู่ไม่นานก็มีรัฐประหาร

สำหรับพรรคอนาคตใหม่ ต้องถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาพรรคใหม่ที่ขอจัดตั้งใหม่กว่า 50 พรรค พรรคอนาคตใหม่ต่างจากพรรคอื่นๆที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือต่อต้านเผด็จการ ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนกับหลายพรรคที่ขอตั้งใหม่ ถือได้ว่าเป็นพรรคแนวทางอุดมการณ์ ซึ่งหายไปจากการเมืองไทย

ในอดีตมีหลายพรรคที่เป็นพรรคแนวอุดมการณ์ แม้จะประสบความสำเร็จในการปลูกฝังอุดมการณ์ ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น การสร้างความเป็นธรรมในสังคม แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง ในระยะหลังๆ พรรคการเมืองที่ยึดแนวอุดมการณ์จึงหายไป พรรคส่วนใหญ่ยึดหลักปฏิบัตินิยม ต้องชนะเลือกตั้ง และต้องเป็นรัฐบาลในทุกวิถีทาง

...

ขอต้อนรับพรรคอนาคตใหม่ สู่การต่อสู้ในสนามการเมืองไทย อาจกลายเป็นทางเลือกใหม่ ของคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ แต่พรรคอนาคตใหม่จะต้องศึกษาบทเรียนในอดีต ไม่เดินตามรอยนักธุรกิจการเมือง ที่เข้าสู่อำนาจด้วยอำนาจการเงิน ด้วยการซื้อเสียงมอมเมาประชาชน ไม่บริหารประเทศด้วยนโยบายประชานิยมสุดโต่ง และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าประชาธิปไตยปราบโกงได้

พรรคการเมืองใหม่ๆและนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ จะต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเมือง ที่ยึดแนวทางสันติ ไม่ใช่แพ้ในสภาแล้วลากการเมืองออกไปเล่นกันนอกสภา ปลุกระดมประชาชนให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมักจะนำไปสู่ความขัดแย้ง และการใช้ความรุนแรงเป็นความขัดแย้งที่ไม่จบสิ้น และกลายเป็นข้ออ้างของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตย ในการล้มประชาธิปไตย.