โอวาทสี่ข้อของท่านเหลี่ยวฝาน ขุนนางราชวงศ์หมิง มีสี่ข้อ ข้อ 1 การสร้างอนาคต ข้อ 2 วิธีแก้ไขความผิดพลาด ข้อ 3 วิธีสร้างความดี และข้อ 4 การถ่อมตน(โอวาท 4 ของท่านเหลี่ยวฝาน หนังสือพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน เจือจันทน์ อัชพรรณ แปล)ในโอวาทข้อ 2 วิธีแก้ไขความผิดพลาด ท่านเหลี่่ยวฝาน แยกออกอีกเป็น 3 ข้อข้อ 1 ลูกจะต้องมีความละอายต่อการทำชั่ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้คนนักปราชญ์โบราณ ได้รับการเคารพบูชา เป็นปูชนียบุคคล แม้กาลเวลาจะผ่านไปแล้วร้อยชั่วคนขณะที่ลูกยังคงเป็นกระเบื้องแตกเป็นเสี่ยงๆไม่สร้างอะไรอันเป็นแก่นสาร หลงระเริงอยู่กับความสุขเหมือนผ้าขาวที่ถูกสีต่างๆแปดเปื้อน ลูกมักทำโดยคิดว่าผู้อื่นไม่ล่วงรู้ แล้วก็ยิ่งเหิมเกริมทำผิดมากขึ้นลงท้ายก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ในโลกนี้ จะมีอะไรน่าละอายมากไปกว่า การไม่รู้ดีรู้ชั่ว ท่านเมิ่งจื่อ กล่าวว่า ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป นับเป็นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ข้อ 2 ลูกจะต้องมีความเกรงกลัวต่อการทำชั่ว เทพยดาอยู่เบื้องบน ผีสางวิญญาณล้วนมีร่างโปร่งแสง มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งนัยน์ตาของมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น ไม่ว่าลูกจะทำผิดอะไรที่คนไม่รู้ แต่ผีสางเทวดารู้ถ้าลูกทำความผิดร้ายแรง ลูกจะต้องรับเคราะห์กรรมหนัก ถ้าทำผิดเพียงนิดหน่อย ก็จะทำให้ความสุขลดลงลูกจะปกปิดความผิดไว้เพียงใด แต่จะปกปิดผีสางเทวดาไม่ได้ หากวันใดที่มีคนแอบรู้ ลูกก็จะเป็นคนไร้ค่าแต่หากลูกยังมีลมหายใจ แม้จะทำความผิดล้นฟ้า ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้ตัวอย่างแต่กาลก่อน มีชายคนหนึ่ง ตลอดชีวิตทำแต่ความชั่ว ครั้นพอใกล้ตายได้สำนึกผิด เพียงขณะจิตเดียว ที่จิตสุดท้ายรู้จักผิดชอบชั่วดี ก็ได้ไปปฏิสนธิในสุคติภพทันอันความผิดที่เกิดจากรู้ว่าทำผิด เป็นมโนกรรมที่มีโทษหนัก แม้ตั้งใจจะแก้ไขในวันพรุ่ง ก็อาจสายไปในโลกแห่งความวุ่นวาย ใครจะรับประกันว่า เราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ถ้าขาดลมหายใจเพียงครั้งเดียว ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของใครอีกแล้วข้อ 3 ลูกต้องกล้าที่จะแก้ไขตนเอง ความผิดเล็กๆน้อยๆ เหมือนหนามตำอยู่ในเนื้อ ถ้ารีบเร่งบ่งออก ก็จะหายเจ็บ ถ้าเป็นความผิดใหญ่ เหมือนถูกงูพิษร้ายขบกัดนิ้วถ้าไม่กล้าตัดนิ้วทิ้ง พิษก็จะลามไปถึงหัวใจ ตายได้ง่ายๆคนไทยที่ได้อ่านโอวาท 4 ของท่านเหลี่ยวฝาน ก็คงรู้ดี นี่คือคำสอนหลักของพุทธศาสนา ไม่ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และคำสอน สำนึกผิดในขณะจิตสุดท้ายจะไปสู่สวรรค์ความจริงคนไทยโบราณ ก็สอนลูกหลานด้วยเรื่องเดียวกัน ด้วยสำนวน ฟ้าเคืองสันหลังสำนวนนี้หมายความว่า เคราะห์กรรมอย่างร้ายแรงมาถึงตัว “ฟ้าเบื้องบน” สมัยก่อนหมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน จะลงโทษอย่างเบาเฆี่ยนหลัง อย่างหนักประหารชีวิตสมัยหนึ่ง สมัยที่เชื่อกันว่า เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่เมื่อมาถึงสมัยนี้ นิยามสำนวน ฟ้าเคืองสันหลัง คงต้องเปลี่ยนใหม่เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย ด้วยโทรศัพท์มือถือ รุมกระหน่ำด้วยมือถือในมือเจ้าสัวสนุกกับการเข้าป่ายิงเสือดำ ฟ้าเคืองสันหลัง ขนาดทำให้ถูกรื้อฟื้น ถึงขั้นยึดที่ดินหกพันไร่ เรื่องอย่างนี้ สมัยก่อนใครอมพระมาพูดให้เชื่อ ก็ไม่เชื่อ.กิเลน ประลองเชิง