ในงานสัมมนาของ สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ สัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง “เอสเอ็มอีไทยก้าวไปกับไทยแลนด์ 4.0” มีการพูดถึงเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัว 3.8% ว่า เป็นเศรษฐกิจ “โมเดลทุเรียน” คือ เป็นการขยายตัวแบบ “แข็งนอกอ่อนใน” การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวดีขึ้น แต่เศรษฐกิจในประเทศยังอ่อนแอ

โดยเฉพาะ ราคาสินค้าเกษตรตกตํ่า ส่งผลต่อกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศ ผมจึงเห็นด้วยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะปรับเพื่อนรัก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีเกษตรฯ และปลด คุณอภิรดี ตันตราภรณ์ ออกจาก รัฐมนตรีพาณิชย์ ไม่อย่างนั้นปีหน้าจะเหนื่อยกว่านี้แน่

ผมชอบใจการอธิบายของ คุณอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ที่ใช้ “โมเดลทุเรียน” มาอธิบายเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า “ด้านนอกแข็งกรอบ แต่ด้านในนิ่ม” เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่งผลต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว คนที่ได้ประโยชน์คือธุรกิจขนาดใหญ่ แต่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ เพราะไม่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

ขณะนี้คนระดับบนยังมีกำลังซื้อ แต่มนุษย์เงินเดือนประหยัด มีเงินแต่ไม่ใช้ แม้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้น เช่น ช็อปช่วยชาติ คนที่ได้ประโยชน์คือคนในตลาดบน เป็นเพียงการกระตุ้นให้ใช้เร็วขึ้น แต่กำลังซื้อหลักในตลาดล่างไม่อยากใช้จ่าย

คุณพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร ก็พูดในทิศทางเดียวกันว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เป็นการขยายตัวแบบ “แข็งนอกอ่อนใน” เป็นการขยายตัวจากการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลก แต่เศรษฐกิจในประเทศไม่ค่อยดี คนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการส่งออก ส่งผลให้ “เศรษฐกิจแข็งบนอ่อนล่าง” มีแต่ ธุรกิจรายใหญ่ได้ประโยชน์ กระจุกตัวอยู่ที่การส่งออกและการท่องเที่ยว แต่ราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งราคาข้าว ราคายาง

...

ทั้ง คุณอมรเทพ และ คุณพิพัฒน์ แนะนำ เอสเอ็มอีไทย ว่า ต้องปรับตัวให้ทันกับธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น นำเทคโนโลยีมาใช้ ใช้โอกาสจากตลาดอาเซียน ผมว่าพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะต้องใช้ทั้ง กำลังเงิน กำลังคน กำลังเทคโนโลยี เป็นการลงทุนที่แพงมาก แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองที่เป็นธรรมจากรัฐบาลเหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ จึงไม่สามารถแข่งขันกับ ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ รัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งกฎหมายและภาษี ที่ได้เปรียบกว่าได้

ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พูดชัดเจนในเวทีสัมมนาของ หอการค้าไทยทั่วประเทศ ครั้งที่ 33 “เติบโตทั่วถึงแบบไทยเท่” ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรื่อง “เอสเอ็มอีกับการนำไทยให้ก้าวไกลไปกับโลกยุค 4.0” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า

ไทยมีกฎหมายกว่า 100,000 ฉบับ มีใบอนุญาตมากกว่า 3,000 ประเภท ที่สร้างภาระให้กับเอสเอ็มอีมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้เอสเอ็มอีแข่งขันได้ยาก และช่องว่างระหว่างธุรกิจเอสเอ็มอีกับธุรกิจขนาดใหญ่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐจะต้องพัฒนาปรับปรุงกฎหมายที่ล้าหลังเหล่านี้ ให้เท่าทันกับโลกยุคใหม่

บทสรุปของ สำนักวิจัยเอกชน และ ผู้ว่าการแบงก์ชาติไทยตรงกันเปี๊ยบ

อุปสรรคใหญ่ของเอสเอ็มอีไทย ก็คือ รัฐบาลไทย นั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดทุกวัน จะช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีมากมาย แต่เป็นการ Talk Only No Action ข้อมูลของ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ และ สองสำนักวิจัย น่าจะเป็น “คำยืนยัน” ได้อย่างดี

กฎหมายนับแสนฉบับเอื้อธุรกิจใหญ่ แต่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจเอสเอ็มอี แล้วธุรกิจเอสเอ็มอีจะแข่งขันได้อย่างไร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมากว่า 3 ปี ก็ไม่ได้แก้ไขให้เป็นธรรมขึ้น นอกจากพูด พูด พูด และ พูด

วันนี้ รัฐบาลควรลงมือทำเสียที ก่อนที่ เอสเอ็มอีไทยจะตายกันเกลี้ยง.

“ลม เปลี่ยนทิศ”