ก่อนถูกรีเซตพ้นตำแหน่งพร้อมกับคณะ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้แข็งขัน ได้ฝากข้อคิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ไว้หลายประเด็น เช่น ในอดีตหน่วยเลือกตั้งหนึ่งรับผู้มีสิทธิราว 600 ถึง 800 คน แต่กฎหมายใหม่เพิ่มเป็น 1,000 คน ทำให้ประชาชนต้องเดินทางไกลขึ้น ต้องเข้าคิวรอการเลือกตั้งยาวขึ้น จนเป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิ
ประเด็นที่สำคัญคือ การกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.แบบเขตของแต่ละพรรคได้หมายเลขหรือเบอร์ต่างกัน นายสมชัยเชื่อว่าจะทำให้เกิดความสับสนอลหม่าน เวลาหาเสียงคงบอกได้แค่ชื่อพรรค แต่บอกไม่ได้ว่าจะให้เลือกเบอร์ใด บัตรเลือกตั้งถ้ามีชื่อพรรค ต้องพิมพ์ต่างกันถึง 350 แบบ มีโอกาสปลอมบัตรมากขึ้น การรวมคะแนนพรรคจากบัตรที่ต่างกันก็คงวุ่นวาย
ยิ่งกว่านั้น การเลือกตั้งที่เรียกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสม ต้องถือว่าเป็นระบบพิสดาร เป็นการถอยหลังลงคลอง เลิกล้มการส่งเสริมให้ประชาชนเลือก “พรรค” กลับไปสู่การเลือก “คน” เพราะคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จากคะแนนเสียงที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบเขตจากทั่วประเทศ และแต่ละคนได้เบอร์ต่างกัน การหาเสียงต้องเน้นตัวบุคคล เพราะพรรคไม่มีเบอร์
การเลือกตั้งที่เน้นตัว ส.ส.ไม่เน้นพรรค มักไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ ส.ส.ที่แต่ละพรรคได้มาจะเป็นแบบเบี้ยหัวแตก ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค เป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ ขาดความเป็นเอกภาพ ไร้ทิศทางและนโยบาย ขึ้นอยู่กับแต่ละพรรค เกิดการแก่งแย่งและรอวันรัฐบาลล้ม
เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายหน เช่น ในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต้องตั้งรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ เพราะไม่มีพรรคใดได้ ส.ส.ถึง 100 คน จากทั้งหมด 300 คน แม้ขณะนี้จะไม่ใช่ยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู เป็นยุคประชาธิปไตยหงอยเหงา แต่มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นถึง 70 พรรค แต่เชื่อว่าจะไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก
...
จากบทเรียนการเมืองยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน แต่ได้รัฐบาลที่อ่อนแอ ทำให้นักปฏิรูปการเมืองต้องค้นคิดวิธีแก้ปัญหา ด้วยการชูคำขวัญ “พรรคเลือกคน ประชาชน เลือกพรรค” และประสบความสำเร็จ รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ให้มี ส.ส. 2 ประเภท คือ แบบเขตเลือกตั้งกับแบบบัญชีรายชื่อพรรค ผู้สมัคร ส.ส.ทั้งสองประเภท มีเบอร์เดียวกันทั่วประเทศ
เป็นการเลือกตั้งที่เน้นการเลือก “พรรค” มากกว่าเลือก “คน” ส่งผลให้พรรคเข้มแข็ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หรือรัฐบาลผสมน้อยพรรค และกำลังพัฒนาเป็นระบบสองพรรคอย่างช้าๆ เหมือนกับนานาประเทศประชาธิปไตย แต่วันนี้เรากำลังถอยหลังกลับอีกครั้ง เพื่ออะไร? เพื่อรองรับนายกฯคนนอก และประชาธิปไตยครึ่งใบใช่หรือไม่?