ผมอ่านบทสัมภาษณ์เปิดใจคุณสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับเมื่อวันเสาร์ แล้วก็เกิดความรู้สึกคล้อยตามที่คุณสุภาพระบุว่า ทีวีดิจิตอลของไทยเรากำลังเผชิญวิกฤติอย่างใหญ่หลวง
นอกจากวิกฤติที่มีถึง 22 ช่อง จนต้องมาแข่งกันเองเพื่อแย่งเค้กจากค่าโฆษณา ซึ่งมีก้อนเท่าเดิม หรืออาจจะเล็กลงกว่าเดิมด้วยซ้ำในภาวะเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้
ยังจะต้องมาแข่งกับภัยคุกคามใหญ่ที่มากับเทคโนโลยี อันได้แก่ “ทีวีออนไลน์” ที่ใครๆก็สามารถออนแอร์ออกอากาศโทรทัศน์ให้ดูได้ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาตให้ กสทช. ไม่ต้องจ่ายค่าโครงข่ายเหมือนกับทีวีดิจิตอล
มีทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ทีวี ยูทูบ ฯลฯ ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้
คุณสุภาพถึงกับยกคำกลอนของบรมครู “สุนทรภู่” ขึ้นมาเป็นตัวอย่างระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า “ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา” เลยทีเดียว
ต้องยอมรับครับว่าเทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้มาเร็วมาก มาเหมือนพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่ๆ กวาดต้นหมากรากไม้ชายฝั่งเรียบวุธไปตามๆกัน
สื่อสิ่งพิมพ์เจอเข้าก่อนเริ่มจากรายเดือนมารายสัปดาห์ แล้วในที่สุด ก็ถึงรายวันที่ค่อยๆปิดตัวกันทีละฉบับ 2 ฉบับ
ที่ยังอยู่ก็ต้องกัดฟันสู้ และต้องใช้ความพยายามยืนโยกตัวต้านพายุด้วยความเหน็ดเหนื่อยไปทุกๆสำนัก
หลังจากเล่นงานสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว เจ้าเทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้ก็หันไปอาละวาดเล่นงานสื่อด้านโทรทัศน์เข้าบ้าง เมื่อมีการพัฒนาระบบการถ่ายทอดทางออนไลน์จนภาพไม่ล้มไม่เต้น แถมคมชัดเหมือนทีวีดิจิตอล
ควบคู่ไปกับการพัฒนาโทรศัพท์มือถืออัจฉริยะให้สามารถรองรับ ระบบอินเตอร์เน็ตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมารวมอยู่ในโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งความบันเทิง ข่าวสาร การรายงานสด การถ่ายทอดสดต่างๆชนิดนาทีต่อนาที
...
เกิดเป็นโทรทัศน์มือถือ ผ่านเฟซบุ๊กบ้าง โซเชียลอื่นๆบ้าง กลายเป็นคู่แข่งของโทรทัศน์และเขย่าโทรทัศน์จนหนาวสะท้านอยู่ในขณะนี้
เผอิญว่าไทยแลนด์เราก็เพิ่งจะเข้าสู่ยุคเปลี่ยนระบบจากทีวีธรรมดาเป็นทีวีดิจิตอล ยังตั้งตัวไม่ติด
การทำงานของ กสทช. ในการสร้างระบบและเครือข่ายยังไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถจะรับได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ
เอาเงินค่าประมูลไปเข้าหลวงได้มากมายก็จริง แต่ทำหน้าที่ไม่สม กับที่ได้เงินก้อนใหญ่ ทำให้ทีวีดิจิตอลทั้ง 22 ช่อง แทบจะกลายเป็นทารกที่เกิดมาอย่างลำบากยากแค้นในชนบทห่างไกลไปตามๆกัน
ที่รอดอยู่ได้ก็เป็นเด็กขาดสารอาหาร หน้าตาอิดโรย หิวโหย ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง เหมือนเด็กๆที่เราเห็นในภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ขอความเมตตาของยูนิเซฟ
ยังดีที่รัฐบาลให้ความเมตตามาบ้างนิดหน่อย ช่วยยืดระยะเวลาการจ่ายใบอนุญาตงวดที่ 3-6 ออกไป ทำให้เด็กขาดสารอาหารพอจะมีอาหาร มาต่ออายุไปได้อีกระยะหนึ่ง
ปรากฏว่า ขณะที่ยังกระเสาะกระแสะกันอยู่นี้เอง เทคโนโลยีใหม่ก็มาถึงเมืองไทย กลายเป็น “โรคซ้ำกรรมซัด” อย่างที่คุณสุภาพยกคำกลอนของสุนทรภู่มาบรรยายให้เห็น
ในความคิดของผม เจ้าโรคใหม่หรือกรรมใหม่ที่เข้ามาซ้ำมาซัดที่ว่านี้ จะน่ากลัวกว่าโรคเดิมหลายเท่า เพราะจะเป็นทีวีที่ไม่ต้องเสียค่าสัมปทาน ไม่ต้องจ่ายค่าต๋งราคาแพง จะออกอากาศอย่างไรก็ได้ตามใจชอบความได้เปรียบจึงมีเยอะกว่า และมีเงินที่จะไปทำรายการ หรือเนื้อหา สาระได้มากกว่าทีวีปกติ
ดูสถานการณ์ต่างๆขณะนี้แล้ว ผมก็รู้สึกเห็นใจดิจิตอลทีวีอย่างยิ่ง และเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณสุภาพที่บอกว่าอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหาทางช่วยเหลือผ่อนหนักเป็นเบา
จึงขอส่งใจไปช่วยอีกแรง ขอให้ดิจิตอลทีวีแก้ไขปัญหาสำเร็จ และสามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่กลายเป็นเด็กขาดสารอาหารที่ต้องล้มตายไปทีละคน 2 คนอีกต่อไป
แต่ถ้าแรงใจที่ผมส่งไปให้ไม่เข้มแข็งพอ หรือช่วยอะไรไม่ได้มาก ก็อย่าว่ากันนะน้องสุภาพ เพราะถ้าจะว่าไปเราก็หัวอกเดียวกันน่ะแหละ...ตกเป็นเหยื่อพายุเทคโนโลยีลูกนี้เหมือนกันเลย.
“ซูม”