ข้าวที่รัฐบาลก่อนรับจำนำจากชาวนา ทำท่าจะกลายเป็นข้าวอาถรรพณ์ แม้แต่ในขั้นตอนสุดท้าย เมื่อรัฐบาล คสช.นำข้าวจำนวนมหาศาลที่เก็บไว้ในโกดังเอกชนออกมาประมูลขายให้เอกชนเพื่อส่งออก หรือเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนซื้อ ไปบริโภค มีการกล่าวหาในทางทุจริต หลังจากที่โครงการรับจำนำข้าวกลายเป็นคดี ถูกฟ้องทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรี
นักการเมืองทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ร้องเรียนเรื่องความไม่ชอบมาพากลของการระบายข้าว กล่าวหาว่านำข้าวคุณภาพดีมาตีเป็นข้าวคุณภาพต่ำ ข้าวที่คนบริโภคได้กลายเป็นอาหารสัตว์ และขายในราคาถูก ทำให้
รัฐเสียหาย เช่น ข้าวหอมมะลิมีผู้เสนอซื้อ กก.ละ 11.25 บาท แต่ไม่ขาย แต่อีก 6 เดือนต่อมากลับขาย 6.10 บาท
ผู้ที่ร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใส สงสัยว่าทำไมจึงขายข้าวที่คนบริโภคได้ในราคาข้าวเสื่อมคุณภาพเพื่อเป็นอาหารสัตว์ ผู้ร้องเรียนไม่ได้มีแค่นักการเมือง แม้แต่เจ้าของโกดังที่รัฐบาลเช่าเก็บข้าวก็มาร้องเรียนหลายราย เจ้าของโกดังรายหนึ่งเปิดเผยว่า เก็บข้าวไว้ 7.9 หมื่นตัน เป็นข้าวที่คนกินได้ทั้งหมด แต่กลายเป็นข้าวกินไม่ได้ 50%
นักการเมือง เจ้าของโกดัง และสมาคมโรงสีข้าวไทย เรียกร้องให้รัฐตรวจ สอบคุณภาพข้าวใหม่ เพื่อให้ทุกฝ่ายยอม
รับคุณภาพข้าวตรงกัน และเป็นทางออกที่ เหมาะสม แต่กรมการค้าต่างประเทศยืนยันว่า ในกว่าสามปีที่ผ่านมาได้ส่งชุดตรวจสอบ 100 ชุดออกไปตรวจสอบข้าวในสต๊อกรัฐบาลหมดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีการตรวจสอบซ้ำอีก
แม้แต่รัฐบาลก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ มองว่าเหตุที่มีการร้องเรียนเป็นเรื่องการเมือง มุ่งหวังให้เป็นประโยชน์ต่อจำเลยในคดีจำนำข้าว ผลการสำรวจความเห็นคนไทย โดยสวนดุสิตโพลครั้งล่าสุดมีกลุ่มตัวอย่าง 81.89% มองว่าปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นปัญหาหนักอกรัฐบาล รองลงมา 78.5% ระบุปัญหาการทุจริต
...
ผลของโพลต้องถือว่าน่าแปลกใจ เพราะผลการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ คนส่วนใหญ่แสดงความชื่นชมผลงานของรัฐบาล ปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง แต่ครั้งล่าสุดกลับถือว่าเป็นปัญหาหนักอกรัฐบาล เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการระบายข้าว แต่รัฐบาลที่ขจัดการคอร์รัปชันเด็ดขาดไม่ควรมองข้าม
การป้องกันและปราบปรามการทุจริตจะต้องยึดหลักธรรมาภิบาล องค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งคือ นิติธรรม ยึดถือกฎหมายเป็นใหญ่เหนือคน บังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส ปฏิบัติต่อทุกคนโดยเสมอหน้า ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ลูบหน้าปะจมูก ไม่ปฏิบัติต่อพวกพ้องอย่างหนึ่ง แต่ต่อฝ่ายตรงข้ามอีกอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นอาจถูกกล่าวหาเสียเอง.