ปี่กลองการเมืองรัวอึกทึกคึกคักตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาพรรค การเมืองต่างแห่เปิดโฉมหน้าผู้สมัคร สส. ประชันนโยบายหาเสียงเลือกตั้งกันอย่างครึกโครม พรรคใหญ่ พรรคกลาง พรรคเล็ก แข่งปล่อยทีเด็ดนโยบายพรรค รัวทำแต้มคะแนนนิยมจากประชาชนตั้งแต่โค้งแรก ก่อนวันรับสมัครเลือกตั้ง สส.วันแรก 27 ธ.ค.นี้พรรคประชาชนชูแคมเปญ “ไทยไม่เทา เท่ากัน ทันโลก” แก้ไขรัฐธรรมนูญ เน้นนโยบายสวัสดิการตั้งแต่เกิดจนเกษียณ อาทิ เด็กแรกเกิดรับเงิน 1,200 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 4 ปี เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,000 บาท การลดค่าครองชีพประชาชน พรรคภูมิใจไทยเสนอผลักดันพักหนี้ทุกรูปแบบ นโยบายคนละครึ่งพลัส ลดค่าไฟฟ้าพรรคเพื่อไทยโชว์นโยบายเร่งด่วน การล้างหนี้ให้ประชาชน การแจกเงินหมื่น พักหนี้เกษตรกร รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รถเมล์แอร์ 10 บาทนโยบายหวยเกษียณ พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศมาตรการลดค่าครองชีพประชาชน ทุบค่าไฟให้เหลือ 3.30 บาท ต่อหน่วย หั่นราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล ให้เหลือ ลิตรละ 30 บาทนโยบายหาเสียงหลายพรรคยึดจุดขายแก้ปัญหาปากท้อง แบบประชานิยม เน้นลดแลกแจกแถมที่ช่วยสร้างภาพจำให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว เลือกแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบเฉพาะหน้า ลดค่าครองชีพระยะสั้นมากกว่าการวางโครงสร้างแก้ปัญหาระยะยาว แต่ไม่ได้ช่วยสร้างความยั่งยืนให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองมักใช้นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องมือขายฝัน โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อเรียกแต้มเรียกคะแนน แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาล กลับไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงได้ หรือทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ตรงปก แต่ลอยนวลไม่มีความผิด เพราะไม่มีบทลงโทษจริงจังกับการหาเสียงแหกตาประชาชนสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือนโยบายประชานิยมต้องใช้งบประมาณมหาศาลดำเนินโครงการ หากรัฐบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอ ต้องกู้เงินมาดำเนินโครงการ กลายเป็นภาระหนี้สินทางการคลังในระยะยาว ยิ่งการเมืองไทยมีเสถียรภาพผันผวน เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ตลอดเวลา ก็ยิ่งทำให้นโยบายประชานิยมไม่ราบรื่นเป็นสิ่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเข้มงวดนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ตรวจสอบเนื้อหานโยบายอย่างจริงจังว่าสามารถปฏิบัติได้จริง หรือเป็นแค่เรื่องชวนฝันลอยๆ แต่ไร้รายละเอียดถึงแหล่งงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่าย ดังนั้น กกต.จึงมีบทบาทสำคัญที่ต้องควบคุมนโยบายหาเสียง ไม่ให้เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม