ภาคเอกชนตื่นตัวลุกขึ้นต่อต้านทุจริต เมื่อคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงความกังวลต่อปัญหานี้ ที่เป็นต้นทุนล่องหน แถมส่งผ่านไปยังราคาสินค้า ประชาชนเดือดร้อนถ้วนหน้า ฉุดความเชื่อมั่น บั่นทอนศักยภาพการแข่งขันของประเทศ มีส่วนกดดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) หายไปถึง 2%การคอร์รัปชันฝังลึกในทุกกลไก รัฐ จนกลายเป็นวัฒนธรรม เฉพาะประมูลงานภาครัฐจ่ายสินบนอาจสูงถึง 20—30% ของมูลค่า นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงความฟอนเฟะ เมื่อบวกกับระบบราชการที่ล้าหลัง กฎหมายไม่โปร่งใส ไทยกลายเป็นหนึ่งในฐานฟอกเงินใหญ่ที่สุดในภูมิภาครูปแบบเรียกรับสินบนเกิดขึ้นมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี เป็นตัวเลขที่นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้ออกมาตอกย้ำให้สังคมได้ตระหนัก ปัญหาทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลให้ภาคีเครือข่ายและองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ผนึกพลังร่วมกันผลักดันขับเคลื่อนแอ็กชันแพลนระยะเร่งด่วน 6 เดือน โดยเปิดตัว “คณะทำงาน Zero Corruption : กกร. และเพื่อนไม่ทน” ที่เป็นภาคธุรกิจกว่า 2 แสนราย ปลุกพลังสังคมทางอ้อม พร้อมมีข้อเสนอให้รัฐบาลนำไปปฏิบัติ เป็นมาตรการที่สร้าง ความโปร่งใส ป้องปรามและป้องกันการทุจริต ที่รัฐบาลและภาครัฐ สามารถนำมาปฏิบัติได้ทันทีโดยเฉพาะรัฐบาลพรรคภูมิใจที่พูดแล้วทำ ในเมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ รู้ดีว่าเป็นอุปสรรคพัฒนาประเทศ ตั้งใจเป็นศัตรูกับการทุจริต ก็ต้องเร่งและเริ่มต้นสั่งการภาครัฐเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นต่อการตรวจสอบตามมาตรฐานสากล พร้อม ปลุกใจข้าราชการ ประชาชน นักธุรกิจ ให้แจ้งเบาะแสผ่านช่องทางที่ปลอดภัยโดยเฉพาะยังอยู่ในช่วงต้นปี งบประมาณ ปี 2569 รัฐบาลเข้ามาพอดี ไม่มีการคอร์รัปชันตามที่รัฐบาลย้ำ นั่นหมายความว่างบประมาณแผ่นดิน จำนวนกว่า 5 แสนล้านบาท ยังคงอยู่ในกระเป๋า และพรรคภูมิใจไทย ตั้งใจเข้ามาสานต่อการเป็นรัฐบาลต่ออีก 4 ปี โดยไม่มีเงินทุจริตสักสตางค์กระเด็นเข้ากระเป๋าของนักการเมืองประเทศมีเงินเหลือเฟือถึง 2.5 ล้านล้านบาท ที่จะใช้เป็นงบลงทุนพัฒนาประเทศชาติ โดยไม่จำเป็นต้องไปรีดเลือดกับปู ทยอยขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 10% ภายใน ปี 2573 แลกกับเงินภาษี 3-4 แสนล้านบาทต่อปี เพราะส่วนใหญ่รีดจากคนจนยิ่งทำให้คนยากจนลง ทางออกที่ดีรัฐบาลควรลดใช้จ่าย ซ้ำซ้อนและปราบคอร์รัปชัน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม