ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปด้วยดีถ้าไม่เกิดโรค “แทรกซ้อน” จากกัมพูชาเพื่อนบ้านที่ไม่น่าคบ ทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาตึงเครียดขึ้นมาอีก ก็ต้องแก้ไขกันไปด้วยวิธีที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้นว่าไปแล้วไทม์ไลน์การเมืองไทยน่าจะเข้าที่เข้าทางแล้ว เพราะ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ให้คำมั่นว่าจะ “ยุบสภา” ตามที่ตกลงกันไว้คือ 31 ม.ค.2569นั่นเท่ากับว่าเริ่มตั้งแต่วันนี้ก็นับถอยหลังได้เลยว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลใหม่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเป็นคนหน้าเดิมหรือหน้าใหม่ก็ดูกันต่อไปพรรค “ประชาชน” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมือง ประกาศให้รัฐบาลเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญลุล่วงภายในปี 2568ก็น่าจะกลางเดือน ธ.ค.2568หากนายกรัฐมนตรีทำตามนี้ก็จะไม่ยื่นซักฟอกเวลากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คืบหน้าไปมาก หลังจากที่ “ภูมิใจไทย” และ “ประชาชน” เห็นสอดคล้องกันคือจะใช้ กมธ.ที่มาจากการรับสมัครใช้สูตร “20 หยิบ 1” คือการจัดเป็นกลุ่มแล้วให้สภาเลือกจาก 2 คน เอาเพียงคนเดียวทั้งหมดจะมีจำนวน 35 คนไม่ใช้ ส.ส.ร.ที่อาจจะเกิดปัญหาขัดกับข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญที่ชี้ว่าคนร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่มาจากการเลือกของประชาชนโดยตรงถือว่าก้าวหน้าไปอีกเปลาะหนึ่งทำให้ “เพื่อไทย” ต้องอกหักเพราะต้องการใช้ ส.ส.ร.แต่แพ้มติตามรูปการณ์อย่างนี้แสดงว่า “ประชาชน” จะไม่ยื่นซักฟอกรัฐบาล แต่ให้ทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่ตกลงกันไว้เพราะเขาจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ตามที่ปรารถนา“เพื่อไทย” ถ้าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ทำไปเองพรรคเดียว เพราะมีเสียงสนับสนุนพร้อมอยู่แล้วเพียงแต่ได้แค่เอามันเท่านั้นเนื่องจากไม่สามารถล้มรัฐบาลได้เนื่อง จากเสียงไม่พอเอาเป็นว่าถนนทุกสายจากนี้ไปคงมุ่งไปที่การเลือกตั้งมากกว่าวันนี้แต่ละพรรคดึงผู้สมัครทั้งหน้าใหม่– หน้าเก่าโผล่ให้เห็นหน้าค่าตากันบ้างแล้ว บางพรรคก็ได้เกือบครบจำนวนบางพรรคก็เร่งมือเพื่อหาผู้สมัครให้ครบจำนวนก็แล้วแต่กรรมวิธีของแต่ละพรรค!แต่ที่แน่ๆอาวุธสำคัญที่จะดึงคนมาลงสมัครในนามพรรคคือ “กระสุน” ใครมีมากจ่ายมากก็มีโอกาสที่จะมีผู้สมัครระดับเกรดเอไม่ต่างไปจากการประมูล มิใช่พรรคนั้นคะแนนนิยมดี หัวหน้าพรรคเด่นดังเท่านั้นแต่ “กระสุนดินดำ” ก็เป็นปัจจัยสำคัญไม่ต่างกันเพราะทุกพรรคต่างก็ต้องการชนะ ต้องการเป็น “จ่าฝูง” ในรัฐบาลชุดใหม่ยกเว้นบางพรรคที่ต้องอาศัย “กระแส” อย่างพรรคประชาชน ประชาธิปัตย์ก็ต้องหาคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันแน่นอนว่าคนรุ่นใหม่คือความสำคัญในยุคสมัยนี้ว่ากันว่าการเลือกตั้งคือวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่หวังผลได้อย่างชัดเจนเพราะแต่ละพรรคต่างก็ต้องใช้เงินทั้งนั้นจะมากจะน้อยก็แล้วแต่พรรคแต่ที่แน่ๆหลังปีใหม่ไปแล้วเศรษฐกิจของประเทศน่าจะดีขึ้นมาระดับหนึ่งและจะกระจายไปทั่วประเทศด้วยดีกว่า “คนละครึ่ง” ดีกว่า “ดิจิทัลวอลเล็ต” แน่นอน!“ลิขิต จงสกุล”คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม