อาชญากรรมไซเบอร์ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน ลงนาม MOU ครั้งประวัติศาสตร์ ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นสักขีพยาน ส่งสัญญาณชัดเจน และหนักแน่นประกาศสงครามครั้งนี้ต้องชนะเท่านั้นนับเป็นภารกิจร่วมกันของประเทศ โดยใช้กลไกรัฐทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง สร้างความร่วมมือปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการทุนเทา นายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน มั่นใจในพลังทีมไทยแลนด์ ใช้ความเด็ดขาดลุยกวาดล้างให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย ถึงขั้นให้คำมั่นต่อคนไทย “เรื่องนี้ ไม่มีเกี้ยเซียะ”เปิดปฏิบัติการเชิงรุกตัดวงจรอาชญากรรมและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยเฉพาะบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อผู้กระทำความผิด ผู้สนับสนุนเบื้องหลัง สร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรอง ยึดและอายัดทรัพย์ทันที เพื่อตัดเส้นทางการเงินและฐานฟอกเงิน มุ่งหวังให้ไทยปลอดจากอาชญากรรมทุกรูปแบบก่อนหน้านั้นรัฐบาลได้ขันนอตกลไกหน่วยงานรัฐ หลังตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามทางไซเบอร์ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมตั้ง 4 ทีมเฉพาะกิจครบทุกมิติ แต่เครื่องยังรวนติดๆขัดๆ ทำงานไม่สอดประสาน โดยเฉพาะองค์กรรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง บุคลากรภายในองค์กรยังปัดแข้งปัดขากันเองจนถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ ไม่กล้าแตะคนมีเงิน หรือเจ้าหน้าที่มีส่วนเข้าไปพัวพันด้วยเพราะขณะนี้ทุนเทากำลังแทรกซึมเข้าไปในกระบวนการยุติธรรม และพรรคการเมือง ในจังหวะที่สถานการณ์สแกมเมอร์กำลังร้อนแรง เป็นประเด็นที่สังคมสนใจ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเมือง สังคมและความมั่นคงของประเทศดังนั้นฝ่ายค้านที่เป็นเสียงข้างมาก ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ระหว่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังตั้งไข่ กับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซักฟอกรัฐบาล หลังมีแกนนำรัฐบาลระบุทำนองว่า หากฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอก มีโอกาสกระทบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องล้มไปทั้งหมด เพราะอาจมีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อนไทม์ไลน์เดิมยิ่งรัฐบาลหยิบยกประเด็นนี้เป็นตัวประกัน ทำนองถ่วงรั้งไม่ให้พรรคฝ่ายค้านตรวจสอบ สังคมย่อมเกิดความคลางแคลงใจต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้นถึงเวลาฝ่ายค้านต้องยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล ไม่เช่นนั้นสังคมจะมองว่านักการเมือง เกี้ยเซียะกัน โดยไม่สนใจเจ้าของอำนาจที่แท้จริงคือประชาชนที่เลือกพวกคุณมา.