กรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มีแนวคิดให้มีการขยายเวลาเกษียณอายุข้าราชการพลเรือน จากเดิม 60 ปี เป็น 65 ปี กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ที่ถกเถียงกันมากมาย เพราะมีผลดีและผลเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และรอบด้าน เพราะปัจจุบันมีข้าราชการพลเรือนหลายแสนคนนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจเรื่องนี้ โดยอยู่ในขั้นตอนให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ดำเนินการศึกษา จึงต้องดูผลพิจารณาหลายด้าน จะขยายการเกษียณอายุข้าราชการ พลเรือนได้หรือไม่ อยากให้มีความชัดเจนและตัดสินใจได้ในรัฐบาลชุดนี้ข้อดีการขยายช่วงเวลาเกษียณ อายุคือลดปัญหาว่างงานระยะยาว ช่วยผู้สูงวัยที่สุขภาพแข็งแรงมีโอกาสทำงานต่อไป ลดภาระการเงินลูกหลานและครอบครัว ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ปัจจุบันสังคมไทยไม่ใช่แค่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ แต่กำลังเป็นสังคมอายุยืนด้วย เพราะคนไทยมีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นข้อมูลการวิจัยของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 100 ปี จำนวน 40,000 กว่าคน ติดอันดับ 5 ของโลก และมีแนวโน้มอายุยืนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากภายหลังเกษียณ อายุแล้วก็ไม่มีงานทำ แต่อายุยืนมากขึ้น จะเอาเงินจากไหนมายังชีพ การขยายเวลาเกษียณอายุจึงเป็นทางออกได้ระดับหนึ่งขณะที่มีข้อกังวลคือภาระการคลัง ทำให้ระบบงบประมาณมีปัญหา การที่ภาครัฐ ต้องจ่ายเงินเดือนและสวัสดิการให้พนักงานที่อายุมากขึ้น อาจเพิ่มภาระงบประมาณได้ อีกทั้งส่งผลต่อระบบการทำงาน เป็นการจำกัดโอกาสความก้าวหน้าคนรุ่นใหม่ในระบบราชการ เกิดการชะงักงันในการเลื่อนตำแหน่งของคนวัยหนุ่มสาวแม้หลายประเทศที่มีผู้สูงอายุมาก เช่น ญี่ปุ่น จะขยายเวลาเกษียณอายุถึง 70 ปี ต่างจากประเทศไทยคงไว้ที่อายุ 60 ปี มายาวนาน ยกเว้นบางอาชีพที่กำหนดให้เกษียณอายุ 65—70 ปี เช่น ผู้พิพากษา อัยการ แต่คงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันในบริบทของสังคมไทยได้ เพราะสภาพสังคมของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันที่สำคัญแนวคิดขยายเวลาเกษียณ อายุยังอยู่ในกรอบข้าราชการพลเรือน ไม่รวม บริษัทเอกชน จึงไม่อาจเหมารวมว่าจะแก้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุระยะยาวได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องศึกษาผลกระทบรอบด้าน หรือมีแนวทางยืดหยุ่นต่ออายุการทำงานเฉพาะอาชีพที่ขาดแคลน ให้เกิดความสมดุล ทั้งแง่เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และโอกาสของคนต่างวัย.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม