คุณศุภจี สุธรรมพันธ์ุ รัฐมนตรีพาณิชย์ ประชุมหน่วยงานรัฐกับ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน เมื่อวานนี้ เพื่อจัดทำ MOU ให้โรงพยาบาลเปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน ให้ประชาชนเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลดค่าครองชีพเบื้องต้นตกลงกับโรงพยาบาล 110 แห่งจาก 5 เครือ จากสมาชิกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน 11 เครือ 330 แห่ง คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม 68 นี้ผมเขียนบทความนี้วันจันทร์ยังไม่รู้ผลการประชุมจะออกมาอย่างไรนพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมที่ควบคุมโรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันสามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะมีข้อกำหนดว่า สถานพยาบาลเอกชนต้องแจ้งราคาค่าบริการและค่ายาให้ผู้รับบริการได้รับทราบ ถ้าไม่แจ้งถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีโทษทั้งจำทั้งปรับ (แต่ก็ไม่เคยเห็นข่าวโรงพยาบาลไหนถูกปรับ) ส่วนเรื่องการไปซื้อยานอกโรงพยาบาล มีมติคณะกรรมการสถานพยาบาลให้สามารถทำได้ แต่เรื่องราคายา พ.ร.บ.นี้ไม่สามารถไปควบคุมได้ เป็นไปตามกลไกตลาดภายใต้การควบคุมของกระทรวงพาณิชย์งานนี้ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โยนให้ รัฐมนตรีศุภจี รับไปเต็มๆเรื่องค่ายาแพงโหดของโรงพยาบาลเอกชน แพงกว่าร้านขายยาทั่วไปหลายเท่า ทำกันมานานแล้ว สภาองค์การผู้บริโภค ก็เคยตีแผ่ ค่าน้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตรที่ฉีดเข้าเส้นเลือด ตลาดขาย 45 บาท โรงพยาบาลคิดราคา 919 บาท แพงกว่าตลาดถึง 1,900% ปลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 ซม. ตลาดขายแพ็กละ 10 แผ่น 250 บาท แผ่นละ 25 บาท โรงพยาบาลคิดแผ่นละ 224 บาท แพงกว่า 700 % ถุงมือยางทางการแพทย์ ราคาตลาดคู่ละ 2.50 บาท โรงพยาบาลคิดคู่ละ 17บาท แพงกว่า 580% สำลีก้อนขนาด 0.35 กรัม ราคาตลาดก้อนละ 0.10 บาท โรงพยาบาลคิดก้อนละ 7 บาท แพงกว่า 6,900% ยังไม่รวมค่าบริการอื่น วัดความดัน วัดออกซิเจนในเลือด ค่าพยาบาล ค่าแพทย์ ถ้าเป็นเคสผ่าตัดใหญ่อย่างต่ำก็หลายแสนบาทขึ้นไปถึง 1–2 ล้านบาท หลายกรณีแพงกว่ายุโรปเสียอีก ไทยมีบวกบวกเยอะ ค่าห้องโรงพยาบาลก็แพงกว่าโรงแรม 5 ดาว กระทรวงสาธารณสุขก็รู้ กระทรวงพาณิชย์ก็รู้ แต่ไม่มีใครทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนผมหวังว่า คุณศุภจี รัฐมนตรีพาณิชย์ ซึ่งกำลังเป็น “ไอดอล” ของสังคมไทย ในยุคโหยหารัฐมนตรีคนดีคนเก่ง จะสามารถทำให้ค่ารักษาพยาบาลเป็นธรรมมากขึ้น ค่ารักษาพยาบาลที่แพงมากยังส่งผลกระทบไปถึง “เบี้ยประกันสุขภาพ” ทำให้แพงขึ้นอีกด้วยวารสารการเงินธนาคาร ฉบับกันยายน 2568 มีข้อมูลระบุชัดเจนว่า ค่ารักษาพยาบาล ที่เรียกว่า “เงินเฟ้อทางการแพทย์” ไทยพุ่งติดอันดับ 5 ของโลก ปี 2567 ค่ารักษาพยาบาลในไทยเพิ่มขึ้น 15.2% สูงอันดับ 5 ของโลก สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 10.4% สหรัฐฯ 10.4% อเมริกาเหนือ 8.1% เอเชีย–แปซิฟิก 11.9% ยุโรป 10.1%ปี 2568 คาดว่าเงินเฟ้อทางการแพทย์ไทยจะเพิ่มขึ้นอีก 14.2% ทั้งที่จีดีพีลดเหลือ 2% ทำให้ค่ารักษาพยาบาลไทยยิ่งแพงขึ้นไปอีก ส่งผลให้ “ชนชั้นกลาง” ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง มีภาระจ่ายค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแพงขึ้นปี 2568 งบค่ารักษาพยาบาล 4 ระบบ รวม 66.3 ล้านคน คือ บัตรทอง ประกันสังคม ข้าราชการและข้าราชการบำนาญรวมครอบครัว พนักงานส่วนท้องถิ่น มีงบประมาณรวม 346,632 ล้านบาท ถ้าลดค่ายาค่ารักษาพยาบาลลง 10-20% ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 34,663–69,326 ล้านบาท โรงพยาบาลก็ยังมีกำไรมากมายผมเชียร์ให้ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ ใช้เวลา 4 เดือนนี้ ลดค่ายา ค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินจริงลงอย่างน้อย 10–20% จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจ “ชนชั้นกลาง” ที่เป็นกำลังสำคัญของชาติได้ทันที และเพิ่มกำลังซื้อมหาศาลเกือบ 70,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้งบสักบาท แค่ทำให้เกิด “ความเป็นธรรม” มากขึ้นแก่ประชาชนทุกคนเท่านั้นเอง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม