"ทักษิณ" ส่งทนายคู่ใจสู้คดีชั้น 14 ศาลฎีกาฯ ซัก ผบ.เรือนจำกรุงเทพฯถึงกระบวนการส่งตัว พร้อมขอประวัติรักษาตัวที่ต่างประเทศ ยอมรับพยาบาลโทร.ประสานแพทย์ราชทัณฑ์ ก่อนส่งไป รพ.ตำรวจ ศาลนัดไต่สวนพยานเพิ่มอีก 20 ปาก “วิญญัติ” ยัน “นายใหญ่” ผ่านตามขั้นตอนกฎหมายจนได้อภัยลดโทษ ย้ำเจ้าตัวไม่ยินดีให้เปิดเผยประวัติการรักษา ข้องใจใครให้ใบเสร็จ “ชาญชัย” “โรม” จี้ ป.ป.ช.เรียก “อิ๊งค์” สอบมีเอี่ยวด้วยหรือไม่ นายกฯแจ้งเลื่อน ครม.สัญจรไม่มีกำหนด ลือสะพัดเรียก ภท.มาคุยพรรคเดียว “เสี่ยหนู” ลั่นพร้อมเป็นฝ่ายค้าน แต่ยังมั่นใจเก้าอี้เหนียว “พีระพันธุ์” โพสต์หวานเชื่อใจ “ขิง” “สุชาติ” นัดกลุ่ม 18 ดินเนอร์โชว์พลัง “พิพัฒน์” รับหนักใจตั้ง กก.สอบ SKyy9 “ไอซ์”ชง ป.ป.ช.สอบ “สุชาติ” อีกทางนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ไปตามนัดไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยศาลขอประวัติการรักษาตัวที่ต่างประเทศเพิ่ม พร้อมอนุญาตให้ไต่สวนพยานเพิ่ม 20 ปาก นัดอีกทีเป็นช่วงเดือน ก.ค.“ทักษิณ” ส่งทนายคู่ใจสู้คดีชั้น 14เมื่อเวลา 08.15 น. วันที่ 13 มิ.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาศาลฎีกาฯ ตามนัดไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีนายทักษิณถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก แต่มีการส่งตัวนายทักษิณไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องไปยังโจทก์ (อัยการสูงสุด และ ป.ป.ช.) และนายทักษิณจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551, จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ให้ชี้แจงข้อเท็จจริง และส่งสำเนาคำร้องไปยังผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงในวันนี้ ต่อมาเวลา 08.30 น. ฝ่าย ป.ป.ช. เดินทางมาถึงพร้อมนำเอกสารพยานหลักฐานในคดีบรรจุแฟ้ม เพื่อใช้ในการไต่สวนวันนี้ โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด ขณะที่การดูแลรักษาความปลอดภัยมีกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คฝ. 2 หมู่รวม 24 นาย ประจำอยู่ด้านหน้า โดยประสานกับตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลฎีกา เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยศาลซัก ผบ.เรือนจำฯขั้นตอนส่งตัวกระทั่งเวลา 09.30 น. ศาลเริ่มไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกี่ยวกับการส่งตัวนายทักษิณไปรักษา รพ.ตำรวจ ตามขั้นตอนต่างๆ นายมานพเบิกความว่า เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2567 ทำหน้าที่ผู้บัญชาการเรือนจำ รวมถึงทำหน้าที่พัศดีเวรในการรับและส่งตัวจำเลยไปยังสถานพยาบาลนอกเรือนจำ โดยการรับตัวมีการตรวจสอบตัวตน ลายนิ้วมือ รูปพรรณ และใบรับรองแพทย์จากต่างประเทศ พร้อมหมายจำคุกของนายทักษิณ แต่ไม่ทราบว่าประวัติการรักษาตัวที่ต่างประเทศของนายทักษิณยังอยู่ในเรือนจำหรือไม่ ศาลจึงมีคำสั่งให้ส่งประวัติดังกล่าวมา แต่ถ้าไม่มีให้แจ้งศาลภายใน 15 วัน นายมานพเบิกความต่อว่า ตอนที่รับตัว พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ได้ตรวจร่างกายนายทักษิณ และระบุว่านายทักษิณอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง 608 คือมีอายุเกิน 60 ปี และมีโรคเรื้อรัง 8 โรค สามารถดูอาการที่เรือนจำได้ แต่หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก และทำใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า เป็นเรื่องปกติในเรือนจำ ภายในเรือนจำมีพยาบาล 1 คน ต่อผู้ต้องขัง 4 พันคน โดยไม่มีแพทย์ประจำและวินิจฉัยโรคเบื้องต้น และเป็นคนละที่กับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ความดันสูง-นอนไม่หลับ-แน่นอกนายมานพระบุว่า ผลการตรวจพบว่านายทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก แพทย์ไม่ได้ตรวจวินิจฉัยแต่พยาบาลเป็นผู้โทร.ไปประสาน นพ.ณัฐพร แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังจากนั้นเป็นผู้มีความเห็นให้ส่งตัวไปรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ ศาลจึงซักถามถึงกระบวนการการส่งตัว นายมานพยอมรับว่า รพ.ราชทัณฑ์มีบริเวณรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปกติต้องส่งรักษาตัวที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ก่อนส่งต่อ การส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาตัวนอกสถานที่ เป็นการอาศัยระเบียบกรมราชทัณฑ์ปี พ.ศ.2560 การส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ที่มีการใช้เป็นปกติ จะแตกต่างจาก ป.วิอาญา เป็นการทุเลาโทษ และนับระยะเวลาการรักษาเข้าไปในวันจำขัง“ทนายวิญญัติ” ซักค้าน 10 คำถามต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ แถลงขออนุญาตซักถามพยานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง 10 คำถาม ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตถามบางคำถาม โดยแจ้งคำถามต่อศาลเนื่องจากบางคำถามศาลเตรียมเรียกพยานเข้ามาไต่สวนอยู่แล้ว คำถามของนายวิญญัติเป็นการถามค้านศาลจากที่นายมานพได้เบิกความไว้ ภายหลังสอบถามเสร็จสิ้น นายวิญญัติแถลงขอนำพยานบุคคลเข้าให้ศาลไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ศาลพิจารณาแล้วให้นายวิญญัติทำคำร้องเป็นเอกสารเข้ามาให้ศาลพิจารณาต่อไปศาลขอประวัติรักษาต่างประเทศหลังไต่สวนนายมานพเสร็จ ศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณา ศาลเห็นว่ามีความจำเป็นต้องไต่สวนพยาน 20 ปากเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง กลุ่มแรกเรียกไต่สวนในวันที่ 4 ก.ค. เป็นกลุ่มแพทย์ที่เกี่ยวข้อง อาทิ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ นพ.ณัฐพร วันที่ 8 ก.ค. เป็นเจ้าหน้าที่พัศดีและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ พัศดีเวรประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ วันที่ 15 ก.ค. เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และผู้บริหารเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในจำนวนนี้มีนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายปราโมทย์ ทองศรี อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และศาลนัดอีกครั้งในวันที่ 18, 25, 30 ก.ค.นี้ ต่อไป นอกจากนี้ศาลยังให้ ป.ป.ช.ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่าด้วยเรื่องมติที่ประชุมแพทยสภา และใบเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวรควบคุมตัวนายทักษิณที่ รพ.ตำรวจ และประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศ ที่ราชทัณฑ์ระบุว่ามีอยู่แต่ยังหาไม่พบให้ส่งกลับมาภายใน 15 วันนัดไต่สวนพยานเพิ่มอีก 20 ปากนายวิญญัติให้สัมภาษณ์หลังไต่สวนเสร็จว่า วันนี้ศาลไต่สวนพยาน 1 ปาก คือผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่เห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงอีกพอสมควรที่ต้องแสวงหาความจริง และหลักฐานประกอบการวินิจฉัย มีพยานบุคคลอีกกว่า 20 ปาก ที่ศาลมีหมายเรียกมาให้การไต่สวน และให้โอกาสจำเลยด้วย ได้ยื่นเสนอพยานบุคคล และศาลให้เขียนคำร้องเข้าไปเพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ ทั้งนี้ ศาลไม่ได้รับฟังกระแสสังคมอย่างเดียว แต่ฟังพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจริงๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ยังบอกไม่ได้ว่าแนวทางเหล่านี้จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ แต่ความจริงคือนายทักษิณมอบตัวถูกหมายจำคุก ถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ไปอยู่ในแดนที่อยู่ในบริเวณเรือนจำ ถือว่าอยู่ในกระบวนการบังคับโทษเบื้องต้นแล้ว ต่อมานายทักษิณป่วยได้รับการตรวจอย่างน้อย 3 เวลาตามมาตรฐาน แต่แพทย์เห็นว่าเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง ก่อนถูกส่งตัวไป รพ.ตำรวจ กระบวนการหลังจากนี้เป็นการถูกจำคุกตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์มาตรา 55 ถือเป็นสถานที่คุมขังและยังอยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ผ่านตามขั้นตอนจนได้อภัยลดโทษนายวิญญัติกล่าวอีกว่า เมื่อมีสิทธิประโยชน์ของผู้ต้องขัง เช่น การขอพระราชทานอภัยโทษ นายทักษิณใช้กระบวนการนั้น เมื่อถึงเวลาคณะอนุกรรมการพิจารณาการพักโทษ ต้องเข้าเกณฑ์เป็นผู้ถูกคุมขังและเป็นนักโทษเด็ดขาด ได้ผ่านกระบวนการของรัฐมาหมด กระทั่งได้รับการพักโทษออกมา และต่อมาได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ เท่ากับนายทักษิณผ่านกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยทั้งหมด นายทักษิณมีคุณสมบัติครบถ้วนถึงผ่านการพิจารณาอภัยลดโทษ จึงได้รับการพิจารณาปล่อยตัว ส่วนจะนำนายทักษิณมาเบิกความต่อศาลฎีกาหรือไม่ ขอไม่ตอบ ส่วนเรื่องมติแพทยสภาเป็นเรื่องหมอกับหมอ เป็นคนละประเด็นกับที่ศาลไต่สวน เนื่องจากแพทยสภาไม่เคยปฏิเสธว่านายทักษิณไม่ได้ป่วย มีเพียงเรื่องอาการวิกฤติหรือไม่ ดังนั้นแพทยสภาจะมีมติอย่างไรก็เป็นเรื่องของแพทยสภา แต่เชื่อว่านายแพทย์ที่รักษานายทักษิณใช้ดุลพินิจส่วนตัววินิจฉัยร่างกายของผู้ป่วย และดุลพินิจสามารถแตกต่างกันได้ในแพทย์แต่ละคน หากเป็นเรื่องผิดจริยธรรม อาจเป็นมาตรฐานใหม่ของแพทยสภาหรือไม่ แพทย์ทั้ง 3 คน ยังสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านการยื่นศาลปกครองได้อยู่ข้องใจใครให้ใบเสร็จแก่ “ชาญชัย”นายวิญญัติกล่าวว่า ส่วนประวัติการรักษาตัวของนายทักษิณที่รักษาตัวในต่างประเทศ ยืนยันว่ามีแน่นอน แต่ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลข้อมูลสุขภาพ ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และนายทักษิณไม่ยินดีจะเปิดเผยหรือให้ใครคัดลอกสำเนา แต่ได้มีการยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และแพทย์ที่ทำการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์มีการบันทึกไว้ในประวัติผู้ป่วยแล้ว ก่อนคืนประวัติให้เจ้าของ ตอนนี้เมื่อศาลต้องการเห็นประวัติและร้องขอให้กรมราชทัณฑ์ส่งให้ ต้องรอดูทางกรมราชทัณฑ์ ศาลไม่ได้เรียกจากตน แต่เรียกจากกรมราชทัณฑ์ ส่วนเรื่องใบเสร็จต้องถามนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กับพวก ว่าได้มาได้อย่างไร ขอให้มีการตรวจสอบว่านายชาญชัยได้มาได้อย่างไร แต่หากถามว่าทำไมใบเสร็จน้อย ไม่มีค่ายา ขอบอกว่าโรคของนายทักษิณน้อย ไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และรักษาตัวอยู่ต่างประเทศก่อนแล้ว ไม่มีกฎหมายใดห้ามใช้หมอหรือยาจากต่างประเทศ“นายใหญ่” เข้าตึกชินฯปัดตอบสื่อวันเดียวกันสำนักข่าว The Room44 รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางไปยังอาคารชินวัตร ทาวเวอร์ 3 ถนนวิภาวดีรังสิต โดยรถโรลส์รอยซ์ ทะเบียน ฐฐ 267 กรุงเทพมหานคร กระทั่งเวลา 14.40 น. นายทักษิณเดินทางออกจากอาคารชินวัตร ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงความกังวลกรณีที่ศาลจะเรียกพยานมาให้ปากคำเพิ่มเติมอีก 20 ปาก และหากคำตัดสินของศาลออกมาในเชิงลบ จะมีผลต่อคดีหรือไม่ นายทักษิณเพียงแต่ยิ้ม แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆราชทัณฑ์รอคำสั่งศาลฎีกาเท่านั้นผู้สื่อข่าวรายงานจากกรมราชทัณฑ์ว่า ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีที่ให้กลับไปจำคุกใหม่ในคดีเดิมตามระยะเวลาต้องโทษที่เหลือตามที่ศาลไต่สวน คือกรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำนปช. ตอนนั้นกรมราชทัณฑ์ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ยืนยันว่าไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือคำสั่งของศาลได้ ส่วนกรณีของนายทักษิณ ราชทัณฑ์มีหน้าที่รอคำสั่งของศาลฎีกาฯเท่านั้น ว่าศาลจะสั่งว่าอย่างไรบ้าง เช่น หากศาลมีคำสั่งให้กลับไปจำคุกระยะเวลาเท่าใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ต้องคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำฯ ตามคำสั่งศาล หากเป็นกรณีหมายขังของผู้ต้องขังเด็ดขาด จะไม่สามารถยื่นขอปล่อยตัวในชั้นศาลได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี จึงจะสามารถยื่นคำร้องขอปล่อยตัวในชั้นศาลได้“โรม” จี้ ป.ป.ช.เรียก “อิ๊งค์” สอบด้วยนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ป.ป.ช.ต้องสอบนายกฯแพทองธารด้วยในฐานะพยาน กรณีที่แพทยสภายืนยันมติลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ทำไมจนถึงวันนี้ ป.ป.ช.กลับไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่รับคำร้องไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เรื่องนี้กลับเงียบ ไม่มีคำชี้แจงจาก ป.ป.ช.ว่าอยู่ในขั้นตอนไหน ป.ป.ช.ควรเร่งดำเนินการไต่สวนโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรนำหลักฐานจากแพทยสภามาประกอบในสำนวน เพราะนี่คือมติที่มีผลชัดเจนว่ามีการกระทำผิดจริง และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเรียกสอบนายกฯคนปัจจุบัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นลูกสาวของนายทักษิณ และเป็น 1 ใน 10 คนที่มีสิทธิเข้าเยี่ยมในระหว่างพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ว่ารับทราบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสถานที่ และเงื่อนไขการรักษาที่ไม่เป็นไปตามระเบียบราชทัณฑ์หรือไม่ ผมจะจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงแบบไม่มีคำตอบจากผู้มีหน้าที่โดยเด็ดขาด”นายกฯให้นโยบายทูต-กงสุลใหญ่เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายในพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชนจากนโยบายสู่การปฏิบัติ” มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายก รัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พร้อมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ ผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วม น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ตอนเดินทางไปประชุมอาเซียนเจอผู้นำครบทุกประเทศ ถือว่าคุ้มค่ากับการสร้างความสัมพันธ์ เกิดเหตุอะไรเราสามารถพูดคุยกันได้ ทั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน พูดเหมือนกันว่าทุกคนคือมนุษย์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์แบบมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นทางการ แต่การเป็นเพื่อนเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยกัน ก็คือมนุษย์ด้วยกัน ทุกคนต้องการความสัมพันธ์ที่สื่อสารกันง่าย และเข้าใจกันง่ายกระทุ้งบัวแก้วทำการทูตเชิงรุกน.ส.แพทองธารกล่าวว่า อยากให้ทุกคนช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ อย่างกรณีนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศของเขา ส่วนหนึ่งมาจากข่าวที่บิดเบือน เฟกนิวส์ แก้ทุกข่าวคงไม่ไหว สิ่งที่ทำได้ต้องเอาข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์เข้าสู่โซเชียลมีเดีย ต้องมีทีมโซเชียลมีเดียที่เข้มแข็งจะช่วยรัฐบาลได้มาก เรื่องของเศรษฐกิจ ผลไม้ไทยมีชื่อเสียงทั่วโลก อยากให้กระทรวงการต่างประเทศทำเชิงรุกมากขึ้น ประเทศไหนที่มีปัญหาติดขัดให้ช่วยเข้าไปคุย รวมถึง ช่วยโปรโมตเมืองรอง จะได้มีสิ่งใหม่ๆไว้รองรับและเรายังเดินหน้าเชื่อมโครงสร้างพื้นฐาน อย่างแลนด์บริดจ์ที่หลายประเทศสนใจ เขาทำการบ้านกันแล้ว ขอฝากตรงนี้ถ้าใครขอข้อมูลก็ให้ประสานกัน และอยากให้ทำเขตการค้าเสรี (FTA) ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลพยายามสนับสนุนการลงทุนของเอกชนไทยในต่างแดนให้มากขึ้นด้วยเหน็บนักเลงโซเชียลไม่อยู่หน้างานน.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า ยกตัวอย่าง 3 เรื่องที่ขาดการชี้แจง คือ มาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา การดำเนินนโยบายของไทยที่พร้อมจะเป็นตัวช่วยทำให้เกิดความสงบสุขในเมียนมา และกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ทุกคนมีหน้าที่อธิบายเหตุผลให้มิตรประเทศเข้าใจว่าความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินมาตรการ เหตุผลที่ไทยยึดมั่นในกฎของทวิภาคีเป็นเพราะอะไร รวมถึงความช่วยเหลือที่ไทยมีให้กับกัมพูชามาตลอดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ตอนนี้ก็ยังช่วยเหลือทั้งเมียนมา และกัมพูชา อยากให้เน้นย้ำว่าเราไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น ตนยังประสานกับกองทัพตลอดพูดคุยกัน แต่มีเสียงเชียร์ให้ทะเลาะให้เกิดความรุนแรง การเชียร์กันในโซเชียลเราไม่ได้อยู่หน้างาน คนที่อยู่หน้างานคือคนที่ต้องเสี่ยง ได้พบและพูดคุยกับคนหน้างาน ไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรง เขาถูกฝึกมาแล้วว่าจะต่อสู้อย่างไร จะรบอย่างไร แต่เขาไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ฉะนั้นในประเทศต้องสามัคคีกันไว้ ย้ำจุดยืนว่าเราจะแก้ปัญหาด้วยความสันติ เราคุยด้วยเหตุผล และการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย.นี้ น่าจะเข้าใจกันมากขึ้น อยากให้เข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน ขอให้เริ่มทำเรื่องนี้อย่างจริงจังลือสะพัดเรียกภูมิใจไทยมาคุยพรรคเดียวผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เตรียมเชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รวมถึงแกนนำพรรค ภท. มาหารือถึงการปรับ ครม.เพียงพรรคเดียว หลังเลื่อนการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.พิษณุโลก วันที่ 23-24 มิ.ย. ออกไปไม่มีกำหนด จนถูกจับจ้องว่าเพื่อรอ ครม.ชุดใหม่ สอดคล้องกับที่นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่าหากไม่ได้อยู่กระทรวงมหาดไทยต่อ พรรค ภท.พร้อมไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่ในส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ยังไม่มีแนวคิดจะปรับอะไร เว้นแต่พรรคนั้นๆจะเสนอปรับเข้ามาเอง โดยพรรคกล้าธรรม เตรียมเสนอปรับ 1 ตำแหน่ง ให้นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา กลับมาเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์อีกครั้ง แทนนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรฯ ผู้เป็นพ่อ ส่วนพรรคร่วมอื่นยังคงยืนยันโควตาเดิม“เสี่ยหนู” ลั่นพร้อมเป็นฝ่ายค้านช่วงเที่ยงที่ จ.อุบลราชธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายกฯสั่งเลื่อนการประชุม ครม.สัญจร อาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่จะมีการปรับ ครม.เร็วๆนี้ว่า ทราบว่ามีการเลื่อนประชุม ครม. ก็คงเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในขณะนี้ เช่น ความตึงเครียดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หากมีการประชุม ครม.สัญจร ต้องลงพื้นที่กันตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย. อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่ามีเหตุความขัดแย้งอยู่อีกพื้นที่ แต่ ครม.กลับไปลงอีกพื้นที่ คิดว่านายกฯตัดสินใจถูกแล้ว เมื่อถามว่านายกฯได้ส่งสัญญาณเรื่องการปรับ ครม.มาแล้วหรือยัง นายอนุทินตอบว่า ไม่มี เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับไปก่อนโดยที่ไม่แจ้งให้ทราบ นายอนุทินตอบสั้นๆว่า ไม่มี เมื่อถามย้ำว่ามั่นใจหรือไม่ว่ายังได้นั่งตำแหน่ง รมว.มหาดไทย นายอนุทินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มั่นใจ” ผู้สื่อข่าวถามว่าหากไม่ได้จริงๆ พร้อมจะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายอนุทินตอบย้ำว่า “พร้อมครับ”จากนั้นนายอนุทินกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ให้รบกับศัตรูกันก่อนอย่าเพิ่งมารบกันเอง ถ้าเราหันมารบกันเองจะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง”“พีระพันธุ์” โพสต์หวานเชื่อใจ “ขิง”ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่แตกออกเป็น 2 สาย เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 12 มิ.ย. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค รทสช. โพสต์ภาพถ่ายคู่กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรค รทสช. ระบุข้อความว่า “เชื่อใจขิง ที่มีคนกล่าวหาขิงว่าจะไปขอให้มาโค่นทำลายผมจากหัวหน้าพรรค ขิงกับผมผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก คำพูดแบบนี้จึงเป็นเรื่องขำๆของคนที่คิดคำแก้ตัวไม่ออก ขิงเป็นคนหนุ่มที่มุ่งมั่นทำงานการเมืองเพื่อประชาชน ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา วันนี้ผมต่อสู้กับทุนขนาดใหญ่ที่มีทั้งเงินและอิทธิพล จนถูกรุมกระหน่ำจากสมุนทุกแขนง เมื่อขิงยืนเคียงข้างผมอย่างไม่หวาดหวั่น จึงโดนหางเลขไปด้วย เราจะสู้กับความไม่ถูกต้องนี้อย่างเข้มแข็งที่สุด แต่ที่น่าอนาถใจคือการพยายามใส่ร้ายป้ายสีการทำงานของขิงกับทีม “สุดซอย” การพูดใส่ร้ายคนมันง่ายเพราะลิ้นไม่มีกระดูก แต่ใครกันแน่ที่น่าเคลือบแคลง ถ้ามีจริงทำไมไม่ดำเนินการทางกฎหมาย แน่จริงทำไมไม่ทำ รทสช.ยังทำงานให้ชาติให้ประชาชนอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไป” จากนั้นนายเอกนัฏโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กว่า “ขอบคุณท่านหัวหน้าครับ ไม่หยุดจนกว่าสุดซอย ผูกพันและศรัทธา จะยืนเคียงข้างกันไม่ว่าจะยากเย็นหรือลำบากขนาดไหนครับ”“สุชาติ” นัดกลุ่ม 18 ดินเนอร์โชว์พลังช่วงค่ำของวันที่ 12 มิ.ย. ที่ร้าน Neil’s Tavern Steak ซอยร่วมฤดี ปทุมวัน สส.ที่ร่วมลงชื่อเสนอนายกฯขอให้มีการปรับ ครม.ในโควตาพรรค รทสช. นัดรับประทานอาหารค่ำ ปรากฏว่าจาก สส. 21 คนที่มีชื่ออยู่ในโพย เดินทางมา 14 คน ได้แก่นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรค นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ นายเกรียงยศ สุดลาภา นายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ นายวัชระ ยาวอหะซัน สส.นราธิวาส นายพิพิธ รัตนรักษ์ นายพันธ์ศักดิ์ บุญแทน นายปรเมษฐ์ จินา สส.สุราษฎร์ธานี นายถนอมพงษ์ หลีกภัย สส.ตรัง นางธิวัลรัตน์ อังกินันท์ จ.อ.อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรบุรี นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี มีแจ้งติดภารกิจ 4 คน ได้แก่ นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา น.ส.กุลวลี นพอมรบดี สส.ราชบุรี นายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท และ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช และตกลงร่วมกันใช้ชื่อนาม“กลุ่ม 18” ส่วน สส.ชุมพร 3 คน ไม่ได้เดินทางมาร่วมในครั้งนี้ด้วย หลังออกมาปฏิเสธไม่ได้ร่วมลงชื่อ“พิพัฒน์” หนักใจตั้ง กก.สอบ SKyy9ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน แถลงข่าวการตั้งคณะกรรมการสอบเอาผิดสำนักงานประกันสังคม ที่ซื้อตึก SKyy9 มูลค่า 7,000 ล้านบาท หลังผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณประกันสังคม ที่มีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน สรุปผลสอบส่งถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ระบุมูลค่าตึกควรอยู่ระหว่าง 3,400- 3,800 ล้านบาท การซื้อในราคา 7,000 ล้านบาท จึงแพงโอเวอร์เกินจริงถึงสองเท่าว่า นายอนุทินส่งเรื่องมาให้ตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยหรือการทุจริต ยังไม่มีการระบุว่าใครผิด ต้องไปดูกระบวนการจัดซื้อทำถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาประธานต้องเป็นข้าราชการระดับปลัดกระทรวง หรือซี 11 และต้องเป็นคนนอก หนักใจเพราะไม่มีใครอยากมา ติดต่อบางคนแล้วยังไม่ให้คำตอบ อาจต้องดูว่าจะใช้อดีตข้าราชการซี 11 ที่เกษียณแล้วมาทำหน้าที่ได้หรือไม่ รวมทั้งกรรมการระดับ 10 อีก 5-6 คน ต้องตั้งให้ได้ภายในเดือน มิ.ย.นี้ อาจใช้เวลาสอบมากกว่า 90 วัน ต้องไปดูรายละเอียดทั้งหมดว่าใครต้องรับผิดชอบ ตั้งแต่ระดับไหน ส่วนนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องถูกพักงานหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ หากเกี่ยวเนื่องก็ต้องกันออกไปก่อน ถ้าอยู่ในตำแหน่งอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้“ไอซ์” ชง ป.ป.ช.สอบ “สุชาติ” อีกทางที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. และนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) ยื่นเรื่อง ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ กรณีการใช้เงินประกันสังคมซื้อตึก SKyy9 หรือสกายไนน์ ในราคาแพงเกินจริง สมัยดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงาน น.ส.รักชนกกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพบมีการซื้อแพงเกินจริง ส่งผลสอบให้ รมว.แรงงานแล้ว หวังว่านายพิพัฒน์จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว ใครผิดให้ลากคอมาลงโทษ หากจะปฏิเสธว่าเป็นรัฐมนตรีแล้วไม่รู้เรื่องทุจริตในสํานักงานประกันสังคม หรือไม่สามารถยุ่งเกี่ยวการตัดสินใจลงทุนได้ ให้ไปชี้แจง ป.ป.ช.เอง ขณะนี้อยู่ในช่วงปรับ ครม. มีคนร้อนรน ทําทุกอย่างเพื่อขยับขึ้นจากรัฐมนตรีช่วยเป็นรัฐมนตรีว่าการ ขอเสียบมีดอันใหญ่ไว้เล่มหนึ่ง ขอถามนายกฯว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ อยากให้มีรัฐมนตรีที่มีเรื่องค้างอยู่ใน ป.ป.ช.หลายคนหรือไม่อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่