แม้เสียงปืนจะเงียบสงบลงหลังทหารไทย และกัมพูชาหยุดยิงถอนกำลังออกจากแนวหน้าช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะกันในช่วงเช้ามืดวันที่ 28 พ.ค.2568 แต่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายยังคงตรึงกำลังในจุดเฝ้าระวัง ส่งผลให้บรรยากาศชายแดนคงตึงเครียดอยู่ขณะนี้ส่วนต้นเหตุเกิดจาก “ฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชาขุดคูเรท” ล้ำเข้าพื้นที่ทับซ้อนช่วงสัตตบรรณถึงสามแยกลาวระยะทาง 650 เมตร ซึ่งถือเป็นการละเมิด MOU2543 ที่ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ในเขตพิพาทเหตุนี้ทำให้ “ผบ.ทบ.ของไทย และกัมพูชาต้องเปิดโต๊ะเจรจา” ได้ข้อสรุปร่วมกัน 3 ข้อ คือ 1.แก้ปัญหาผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ที่จะประชุมภายใน 2-3 สัปดาห์ 2.ให้ทั้ง 2 ฝ่ายถอยไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมเพื่อลดการเผชิญหน้า และ 3.รักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยใช้ความอดทนและหลีกเลี่ยงการยั่วยุแต่ไม่นานหลังการเจรจา “สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ และประธานวุฒิสภากัมพูชา” ก็โพสต์เพิ่มข้อที่ 4 ว่ากัมพูชาจะไม่ถอยจากจุดขัดแย้งยืนหยัดเพราะถือว่าครอบครองพื้นที่มาตั้งแต่ก่อนลงนาม MOU ปี 2543 ถ้อยแถลงนี้สร้างความสับสนต่อสถานการณ์ และเพิ่มแรงกดดันให้ตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบครั้งใหม่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่าสถานการณ์ชายแดนภาคอีสานตอนล่างในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเพราะเคยเป็นพื้นที่พิพาทในกรณีเขาพระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชามาก่อน ล่าสุดก็มาเกิดขึ้นกับปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใกล้เคียงกัน และมีปัญหาการปักปันเขตแดนตาม MOU43 ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ทำให้มักตกอยู่ในสถานะพื้นที่อ้างสิทธิ์แล้วบริเวณช่องบกเป็นจุดเชื่อม 3 ประเทศ “ลาว” แขวงจำปาสัก, สาละวันเชื่อม “กัมพูชา” เขตเขาพระวิหาร อุดรมีชัย สะเต็งตึงเชื่อม “อ.น้ำยืนของไทย” ที่ถูกเรียกว่า “สามเหลี่ยมมรกต” ทุกครั้งถ้าการเมืองไทยอ่อนแอไร้เสถียรภาพก็มักถูกฉวยโอกาสจุดชนวนให้เกิดประเด็นสร้างข้อพิพาทขึ้นเสมอสิ่งที่สำคัญพื้นที่เนิน 745 ตั้งอยู่ในเขตพิพาท 12 ตร.กม. ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เคยมีประวัติการสู้รบในอดีต ฉะนั้นกรณีการส่งทหารทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามาเผชิญหน้ากันจึงมักนำไปสู่ความตึงเครียด สามารถวิเคราะห์ได้คือ “ระดับยุทธวิธี” การนำทหาร 2 ฝ่ายตั้งเผชิญหน้ากันนานๆ มักเกิดความหงุดหงิดสะสมแล้วยิ่งกัมพูชามีแนวคิดชาตินิยมสูง “กรณีการได้เขาพระวิหาร” จึงเป็นบทเรียนเชิงบวกให้ลุกลามมายังปราสาทตาเมือนธมตามมาด้วยบริเวณช่องบกที่เคยรุกมาในพื้นที่อ้างสิทธิ์เพียงแต่ “ฝ่ายไทย” พยายามผลักดันออกไปเพื่อยืนยันไม่สามารถเข้ามาในเขตพื้นที่พิพาทได้ เมื่อเหตุการณ์เว้นระยะไปสักพักก็กลับมาเกิดการรุกล้ำขึ้นอีก แต่ครั้งนี้เกิดยิงปะทะกัน 10 นาที “ยุติด้วยการประสานระดับปฏิบัติ 2 ฝ่าย” หลังจากนั้น ผบ.ทบ.2 ประเทศร่วมตกลง 3 ข้อ แต่กัมพูชากลับออกแถลงการณ์เพิ่มข้อที่ 4 “จะไม่ถอนกำลังในพื้นที่ขัดแย้ง” ตรงนี้ฝ่ายไทยพึงต้องระวังอันสะท้อนถึงท่าทีที่ขัดข้อตกลง MOU43 และระดับผู้ปฏิบัติอาจตึงเครียดจนเกิดการปะทะกันขึ้นมาอีกก็ได้ประเด็นด้านยุทธศาสตร์ในเชิงลึกนั้น “เหตุปะทะกันบริเวณช่องบกอาจเกี่ยวข้องกับอิทธิพลประเทศมหาอำนาจ” โดยเฉพาะจีนต่างมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกัมพูชาที่เพิ่งจัดการฝึกทางทหารร่วมกันไม่นานนี้ก็มีรายงานว่าจีนทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ให้ใช้งานด้วย ดังนั้นในบริบทนี้ “จีน” จึงถือว่ากัมพูชาเป็นพันธมิตรสำคัญขณะที่ “ไทย” ประกาศท่าทีสนับสนุนอินโด-แปซิฟิกมีแนวโน้มเอนเอียงซีกตะวันตก “จีน” ก็ระแวงการเผชิญหน้ากับฝั่งตะวันตกทำให้การฝึกทางทหารจีน-กัมพูชาไม่ใช่แสดงศักยภาพแต่สะท้อนถึงการสร้างฐานที่มั่นสังเกตได้ในอนาคต สีหนุวิลล์ จะถูกใช้เป็นท่าเรือจีนและเกาะกงจะพัฒนาเป็นสนามบินสนับสนุนภารกิจจีนในภูมิภาคนี้ การเคลื่อนไหวของจีนในภูมิภาคนี้ “จึงมีมิติการป้องปรามวางระบบควบคุมด้านยุทธศาสตร์” อย่างเช่นการวางระบบจุดตั้งขีปนาวุธ และป้องกันผลประโยชน์ ทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อาจไม่ใช่แค่เรื่องภายในแต่เชื่อมโยงกับบทบาทของมหาอำนาจจีน ซึ่งไม่พอใจท่าทีของไทยที่ประกาศสนับสนุนแนวทางอินโดแปซิฟิกสังเกตจากผู้นำจีนเยือนอาเซียน เช่น มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม “ไม่แวะเยือนไทย” ขณะเดียวกันจีนสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมา ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับแรงหนุนตะวันตกจนถูกมองว่าส่งอาวุธผ่านไทย “จีนก็มองไทยเชิงฝ่ายตรงข้าม” ดังนั้นสถานการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้นอาจมีแรงกดดันจากอิทธิพลมหาอำนาจอยู่เบื้องหลังก็ได้อีกมิติที่ควรพิจารณาในระดับยุทธศาสตร์ “กัมพูชาจะมีเลือกตั้งอีก 1 ปี” แล้วกัมพูชามีชาตินิยมสูง “ผู้นำ” อาจอาศัยจังหวะในช่วงผู้นำไทยอ่อนแอทางการเมือง สร้างแสดงแสนยานุภาพเรียกคะแนนนิยมในประเทศถ้ามองมาฝั่ง “การเมืองไทยก็อยู่ในภาวะเปราะบาง” แล้วพรรคการเมืองหลักก็เชื่อมโยงกับผู้นำกัมพูชาแน่นแฟ้นหลายระดับทำให้เกิดคำถาม “เหตุการณ์ชายแดนถูกนำมาใช้เป็นประเด็นทางการเมืองหรือไม่” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจด้านปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคงในมิติอื่น หรือความล้มเหลวในเวทีระหว่างประเทศยิ่งไปกว่านั้น “เรื่องปัญหายาเสพติดในเมียนมา” ซึ่งถูกยกขึ้นมาช่วงเวลาใกล้เคียงกันอาจเป็นอีกเครื่องมือนำมาเชื่อมโยงเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนในมุมวิเคราะห์เรื่องนี้เป็นเหตุบังเอิญหรือมีเบื้องหลังโยงใยการเมืองภายใน 2 ประเทศ เพราะในแง่ความสัมพันธ์ระดับผู้นำน่าจะพูดคุยระงับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนได้ในแง่มุมหนึ่ง “กัมพูชาอาจแสดงแสนยานุภาพ” เพราะฝ่ายกัมพูชาขนกำลัง และยุทโธปกรณ์เข้าสู่พื้นที่อย่างรวดเร็ว ทั้งปืนใหญ่หลายลำกล้องถูกระบุเป็นของจีนเข้ามาประจำการ อันมีเจตนาการแสดงแสนยานุภาพ เพื่อส่งสัญญาณหากเกิดความขัดแย้งกัน “กัมพูชา” มีศักยภาพอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงพอไม่มีปัญหากระสุนขาดแคลน “สิ่งนี้เป็นการส่งสัญญาณเห็นชัดว่าจีนสนับสนุนทั้งในด้านการเมือง และการฝึกร่วมทางทหารที่เพิ่งจบไป เมื่อมองภาพรวมทั้งยุทธวิธีระดับภาคสนาม ยุทธศาสตร์เชิงโครงสร้างการเมือง และมหาอำนาจ ความขัดแย้งนี้อาจจงใจให้เกิดหวังผลทางการเมืองแต่ละฝ่าย แม้แต่มหาอำนาจอยู่เบื้องหลังก็ได้ประโยชน์ด้วย” พล.ท.ภราดรว่าฉะนั้นเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่เพียงเรื่องเขตแดน “หากเป็นบททดสอบเชิงนโยบายต่างประเทศ และความแข็งแกร่งรัฐบาลไทย” ที่ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้จนเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามจับจังหวะใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงการเมืองภายใน และในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม