วันนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการประชุมเรื่องดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 2 ในปีนี้ การประชุมครั้งแรก 26 ก.พ. กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เห็นชอบให้ลดดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เหลือร้อยละ 2.0 เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบการเงิน และรองรับความเสี่ยงด้านตํ่าที่ชัดเจนขึ้น แต่วันนี้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจการเงินทุกด้านล้วนอยู่ในภาวะเสี่ยงสูง จากสงครามการค้าที่กำลังร้อนระอุ ไทยถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 36% จนถึงบัดนี้รัฐบาลก็ยังไม่สามารถติดต่อนัดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯได้ ทำให้ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีกผมวิเคราะห์แล้วฟันธงไว้ตรงนี้เลยว่า กนง.น่าจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 1.76 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ย ที่ลดลงช่วยดูดซับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกคำแนะนำระบุว่า ธนาคารกลางในเอเชียยังมีช่องว่างในการลดดอกเบี้ยอีก เพื่อสนับสนุนอุปสงค์ (Demand) ในประเทศ และ บรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไอเอ็มเอฟมองว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้มีความแข็งแกร่งกว่าช่วงวิกฤติการเงินเอเชียในอดีตมาก อัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคก็ยังอยู่ในระดับเป้าหมายของธนาคารกลาง จึงเอื้อให้เกิดการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมคุณกฤษณะ ศรีนิวาสัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชียแปซิฟิก ไอเอ็มเอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่าสิ่งที่เรากำลังแนะนำคือ ให้ประเทศต่างๆปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวดูดซับแรงกระแทก (shock absorber) และ ให้นโยบายการเงินมีพื้นที่ในการปรับตัว เพื่อรองรับผลกระทบจากภาษี แม้ว่าการลดดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินอ่อนลง แต่การใช้เครื่องมือทางการเงินก็จำเป็น เพื่อรับมือกับแรงกระแทกจากสงครามการค้าจะเห็นว่าคำแนะนำของไอเอ็มเอฟเน้นชัดเจน ให้ธนาคารกลางในเอเชียลดดอกเบี้ย และ ยอมให้ค่าเงินอ่อนลงบ้าง เพื่อรับแรงกระแทกจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นผมจึงเห็นว่า กนง. ควรลดดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกระแทกจากภาษีสหรัฐฯ เพราะแม้ กนง.จะลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 1.75 กนง.ก็ยังเหลือพื้นที่ทางการเงินเหลือเฟือที่จะลดดอกเบี้ยได้อีกในอนาคต เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยนโยบายในอดีต เหตุผลที่ไอเอ็มเอฟแนะนำให้ธนาคารกลางในเอเชียลดดอกเบี้ย เพราะก่อนหน้านี้ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเชียลง หลังจากที่ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการขึ้นภาษีไอเอ็มเอฟปรับลดการเติบโตของเอเชียลงมาที่ 3.9% ในปีนี้ และ 4% ในปี 2569คุณกฤษณะ กล่าวว่า ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดคาดการณ์ลงรวม 0.8% จากประมาณการก่อนหน้านี้ เป็นการปรับลดลงแรงที่สุด นับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด–19 แม้จะปรับลดลงแล้ว แต่ความเสี่ยงด้านลบก็ยังมีอยู่สูง ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้าในเอเชีย นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังแนะนำให้ประเทศในเอเชียหันมาให้ความสำคัญกับ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ” อย่างที่ผมได้เขียนเสนอไปหลายครั้ง รวมทั้ง “การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่จำเป็น” เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศไอเอ็มเอฟ แนะนำอีกว่า การลดต้นทุนการกู้จะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ (Demand) และ ดึงบางประเทศอย่างจีนและไทยออกจากภาวะเงินฝืดด้วย ส่วน มาตรการสนับสนุนทางการคลัง ควรทำเฉพาะเจาะจงและมีกรอบเวลา เพราะหลายประเทศมีงบประมาณขาดดุลในระดับสูงผมเชื่อว่า กนง.ก็คงมองภาพเศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกับไอเอ็มเอฟ วันนี้ถึงเวลาต้องช่วยตัวเองแล้ว ลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ ให้รอดไปด้วยกัน.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม