นับวันการเกิดแผ่นดินไหว “ในประเทศเมียนมา” จะมีแนวโน้มรุนแรงเกิดถี่มากขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ แรงสั่นสะเทือนยังแผ่ลงมาถึงพื้นที่ประเทศไทยหลายครั้ง ก่อเกิดผลกระทบต่ออาคาร และโครงสร้างที่ไม่แข็งแรงได้รับความเสียหายจนสร้างความกังวลให้ผู้ที่อยู่บนอาคารสูงมาอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งมาจาก “การขาดความพร้อมในการรับมือ” โดยเฉพาะระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพจะสามารถให้ข้อมูลล่วงหน้าแก่ประชาชนและหน่วยงานในการรับมือแผ่นดินไหวอย่างกรณีใกล้เมือง มัณฑะเลย์ขนาด 8.2 มาตราริกเตอร์ (รายงานกรมอุตุนิยมวิทยา) หรือขนาด 7.7 มาตราโมเมนต์ (ตามรายงานของ USGS)เรื่องนี้กลายเป็นบทเรียนราคาแพงสะท้อนให้เห็น “ระบบแจ้งเตือนภัยล้มเหลว” เพราะการให้ข้อมูลที่ถูกต้องในระหว่างเกิดแผ่นดินไหวนั้นจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ประชาชนช่วยลดความตื่นตระหนกจนปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต บอกว่าจริงๆแล้วสำหรับ “กรณีการเกิดแผ่นดินไหว” มีหลักการวัดขนาดในรายงานข้อมูล 2 แบบ คือ “มาตราวัดแบบริกเตอร์ (Richter scale)” อันเป็นรูปแบบวิธีเก่าที่เน้นวัดความสูงคลื่นของแผ่นดินไหวที่สถานีวัดใกล้จุดศูนย์กลาง “หากอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางตัวเลขอาจดูสูง” สำหรับวิธีนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ ค.ศ.1935 โดยเรียกชื่อตามคนค้นพบคือ “ชาลส์ ฟรานซิส ริกเตอร์ (Charles Francis Richter) ชาวสหรัฐอเมริกา” เป็นผู้กำหนดตัวเลขบอกปริมาณพลังงานถูกปลดปล่อยมาแล้วใช้เครื่องมือตรวจจับคลื่นแผ่นดินไหวนำมาแปรออกมาเป็นค่ามาตราริกเตอร์เหมาะสมสำหรับแผ่นดินไหวขนาดเล็กถึงขนาดกลาง 3-5 ริกเตอร์สมัยก่อนประเทศไทยมักใช้มาตราริกเตอร์เป็นหลัก “แต่ด้วยมีจุดอ่อนใช้วัดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ไม่ได้” แล้วก็ผิดพลาดบ่อยในการรายงานแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้พัฒนามาตราวัดขนาดแผ่นดินไหวอื่นขึ้นมาคือ “โมเมนต์แมกนิจูด (Moment Magnitude, Mw)” ใช้ได้ทุกขนาดแผ่นดินไหวตั้งแต่เล็กจนขนาดใหญ่ระดับโลกเนื่องจากใช้วิธี “การวัดพลังงานทั้งหมดที่ถูกปลดปล่อยออกมา” แล้วคำนวณจากขนาดของรอยเลื่อน (Fault Slip) ความแข็งของหิน ระยะที่เปลือกโลกเคลื่อนที่ “แม่นยำกว่ามาตราริกเตอร์” จนปัจจุบันนักธรณีวิทยาทั่วโลกส่วนใหญ่เลิกใช้ริกเตอร์แล้วหันมาใช้โมเมนต์แมกนิจูด (Mw) เป็นมาตรฐานการรายงานขนาดแผ่นดินไหวแทนทำให้มีข้อสงสัยว่า “ทำไมกรมอุตุนิยมวิทยายังใช้ค่ามาตราริกเตอร์วัดแผ่นดินไหวอยู่” จนกลายเป็นประเทศเดียวที่ยังคงใช้ค่าวัดนี้ก่อเกิดความสับสนให้กับคนไทย และชาวต่างชาติมากพอสมควรในขณะนี้ถัดมาหากดูไทม์ไลน์ “เหตุแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์” ปรากฏพบแรงสั่นคลื่นมีความเร็วกว่าเสียง และน้อยกว่าแสงใช้เวลาประมาณ 7 นาที “ก่อนมาถึงกรุงเทพฯ” หากประเทศไทยมีระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินทำงานได้เร็วก็จะสามารถแจ้งให้ผู้ทำงานในตึก สตง.ออกมา เพื่อจะช่วยลดความสูญเสียได้มากกว่านี้ แต่ว่าทันทีที่เกิดแผ่นดินไหวในเมียนมาเวลา 13.20 น. ตามเวลาประเทศไทย “มีการตรวจสอบคลิปวิดีโอหลายมุมช่วงอาคาร สตง.พังถล่มในเวลา 13.26–13.27 หรือ 7 นาที” แล้วกรมอุตุนิยมวิทยา ก็ได้ประกาศแจ้งศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ (ศภช.) ผ่านเว็บไซต์ 13.36 น. อันเป็นเวลาตึกถล่มมีคนเสียชีวิตขึ้นแล้วต่อมาในเวลา 13.44 น.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) “มีการแจ้งเตือน SMS ในหน่วยงานตั้งแต่ผู้ว่าฯจังหวัด สนง.ปภ.จังหวัด และผู้บริหารทั้งหมด” แล้วในเวลา 14.30 น. ก็มีการแจ้งเตือน SMS ให้กับประชาชนทั่วไปผ่าน คกก.กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)พอมาดูเวลาการแจ้งเตือนประชาชนกลับล่าช้ามาจากจุดเริ่มต้น 13.36 น. “อันเป็นห้วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก” ดังนั้นการทำงานแบบอนุกรมต่อกัน “ไม่เวิร์ก” เพราะทันทีที่เกิดเหตุทุกหน่วยควรต้องดำเนินงานตามภารกิจหน้าที่ตัวเอง โดยเฉพาะ กสทช.ต้องแจ้งเตือนภัยต่อประชาชนในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ระบบแจ้งเตือนด้วย SMS ทำได้คราวละ 200,000–300,000 หมายเลข/ชม.” สวนทางกับประชากรอาศัยอยู่พื้นที่กรุงเทพฯ 12 ล้านคน “จนแจ้งเตือนได้ไม่ทัน” เพราะข้อจำกัดระบบ SMS ต้องทราบเบอร์เป้าหมาย และการใช้เครือข่ายสูงมากในเวลานั้นกลายเป็นอุปสรรคต่อการกระจาย SMS ไม่ได้“ถ้าไม่มีเบอร์โทรศัพท์ในมือจะส่งข้อความไม่ได้ต้องใช้เวลาอีก 1-2 ชั่วโมงในการทำงานจนเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อความ บางคนได้รับช้า เกิดภาวะตระหนก ตกใจ ออกมาที่โล่งแจ้ง การจราจรติดขัดเช่นนี้ กสทช.จะรับผิดชอบอย่างไรเพราะนายกฯ ตำหนิเรื่องนี้มากและเหตุการณ์แบบนี้ต้องแก้ไข” รศ.ดร.เสรี ว่าหากเทียบกับ “ประเทศญี่ปุ่น” ใช้ระบบ J-Alert เมื่อเกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงเข้มข้นจะสามารถใช้เวลา 1 นาที “เตือนประชาชนให้พร้อมรับมือ” แล้วญี่ปุ่นยังให้ความรู้การป้องกันภัยพิบัติแก่ประชาชนมาตั้งแต่เด็กเพื่อสร้างความตระหนักรู้ตั้งแต่ฝึกซ้อมรับมืออยู่บ้าน ชุมชน โรงเรียน หน่วยงานรัฐ และบริษัทอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี เมื่อเกิดแผ่นดิน ไหว “คนญี่ปุ่น” จะรู้แนวการปฏิบัติตนไม่จำเป็นต้องอธิบายข้อความมาจากภาครัฐใดๆดังนั้นเราคงต้องปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้มีประสิทธิภาพ “นายกรัฐมนตรี” ก็ได้สั่งการให้ปรับปรุงทำเป็นระบบเซลล์บอร์ดแคสต์ในการส่งข้อความแจ้งเตือนผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้ได้ในระดับวินาทีแล้ว โดยจะใช้ได้ในเดือน ก.ค.2568 เหตุนี้จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในการจัดทำระบบให้ออกมาใช้ได้จริง เนื่องจาก “ระบบเซลล์บอร์ดแคสต์” ไม่จำเป็นต้องรู้เบอร์หากเกิดแผ่นดินไหวที่ใดสามารถตีกรอบผลกระทบใช้ระบบนี้ส่งข้อความเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทุกคนได้พร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว สิ่งนี้เป็นความสำคัญด้านเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เตือนภัยพิบัติในเดือน ก.ค.นี้ตามที่ “นายกฯ” ประกาศต้องทำระบบให้เสร็จเพราะมีองคาพยพที่ทำเรื่องนี้หลายหน่วยงานเพียงแต่ปัจจุบัน “คุยกันถึงการลดขั้นตอนการขออนุญาตผู้บริหาร” เช่นนั้นในระหว่างนี้หากเกิดเหตุฉุกเฉินก็ให้ใช้ระบบการแจ้งผ่าน SMS โดยไม่ต้องผ่าน กสทช. รวมถึงใช้ช่องทางการแจ้งเตือนผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และโซเชียลมีเดียไปก่อนสุดท้ายนี้หากประเทศไทย “ไม่พัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ” ผลกรรมคงมาตกที่ประชาชนจะต้องเผชิญกับความวิตกกังวล และความไม่มั่นคงในชีวิตประจำวันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม