ความสุขตามแนวทางพุทธศาสนามีสองแบบ แบบแรก โลกียสุข สุขของคนที่อยู่ในโลก แบบที่สอง โลกุตรสุข แบบของคนพ้นโลก ก็นิพพานนั่นล่ะครับลองอ่านเรื่องเล่าความสุขแบบชาวนาใน “เรื่องเล็กๆ ความหมายใหญ่ๆ” (สุริยเทพ ไชยมงคล เขียน อินสไปร์ พิมพ์ พ.ศ.2553)...แล้วค่อยๆคิดต่อว่า สุขแบบไหน?ชาวนาคนหนึ่งทำนาไปตามกำลัง พอมีอยู่มีกิน เทียบกับเพื่อนบ้านทั่วไป เขาจึงเป็นคน “ยากจน”แน่ล่ะ! ขึ้นชื่อว่าคนยากจน เขาจึงมีเวลาที่เหลือมากมาย ขณะที่คนอื่นออกไปดิ้นรนขวนขวาย...หารายได้เพิ่มเติมทางอื่น เขามักนอนพักผ่อน ไม่รู้หนาวรู้ร้อนอยู่ใต้ร่มไม้ถึงวันนั้น เพื่อนบ้านผู้หวังดี มีความสนิทสนมมากพอ ก็หลุดปากเตือน “แก...ไม่ควรใช้ชีวิตแบบนี้”“แล้วจะให้ข้าใช้ชีวิตแบบไหน?” ชาวนาถาม“นี่ยังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ยังมีอะไรให้ต้องทำมาหากิน” เพื่อนอธิบาย “แม้จะอยู่ในฤดูร้อน แกก็ไม่ควรกลัวร้อน แกควรนอนให้ดึก ตื่นแต่เช้า ในที่ดินของแกยังมีที่ว่าง รอให้แกออกแรงทำ ถ้าแกอยากจะทำ”“แล้วหลังจากนั้น...” ชาวนาถามต่อ เขาดูเป็นคนไม่ประสีประสาเอาเสียจริงๆ“ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วง เวลาที่แกจะเก็บเกี่ยวข้าวในท้องนา ออกหาปลาในท้องทุ่ง ถ้าแกกินอยู่อย่างประหยัดอีกสักหน่อย แกก็จะเหลือทั้งข้าวทั้งปลาให้ออกไปขายได้เงินเพิ่ม” ชาวนาตั้งใจฟัง เพื่อนก็ยังร่ายยาว“พอมีเงินแกก็ซื้อที่นาเพิ่ม แกก็จะขายข้าวได้เงินมากขึ้นๆ อีกไม่กี่ปี แกก็จะมีเงินสร้างบ้านหลังใหญ่ ซื้อวัวควายมาไถนา จ้างคนทำนา แล้วเวลานั้น แกจะอยู่สุขสบาย ไม่ว่างานอะไรๆ แกมีลูกจ้างทำงานแทน...”เพื่อนบ้านจบประโยคท้าย “ทีนี้ แกก็จะได้นอนสบายๆ อยู่ใต้ต้นไม้...”ชาวนาสงบสติฟังเพื่อนแนะนำอยู่เป็นนาน ก็ได้ทีถาม “แล้วตอนนี้ แกคิดว่า ข้ากำลังทำอะไรอยู่ล่ะ!”เรื่องเล่าเรื่องเล็กๆ จบแค่นี้...ต่อไปนี้ มีคำอธิบายความหมายใหญ่ๆ ขึ้นต้นว่าเส้นทางความสุขไม่จำกัดฐานะในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิของศิษย์คนหนึ่ง หลี่ไป๋ กวีอมตะของจีน เขียนบทกวีบทหนึ่ง“โลกนี้เป็นที่พักสรรพสิ่ง ชีวิตสั้นดังฝันไป ยังสุขได้อีกกี่วาร...”ความร่ำรวยหรือความยากจนไม่ได้เป็นอุปสรรคกีดกันความสุขออกจากชีวิตใคร ไม่แน่ว่า คนรวยจะมีความสุขเต็มเปี่ยมเสมอ และก็ไม่แน่เช่นเดียวกัน คนจนจะทุกข์ยากตรากตรำตลอดไปเรื่องสำคัญอยู่ที่การค้นหาหนทางแห่งความสุขที่เหมาะกับตัวเองชาวนาในนิทาน มีหนทางความสุขชัดเจน ทำไมเขาต้องดิ้นรนขวนขวายให้เหนื่อยยากลำบากกายเปล่าๆ! ความสุขคือการรักษาสมดุลระหว่างความต้องการทางร่างกาย หรือตามศักยภาพที่มีอยู่คนจนหาเงินได้ห้าร้อย แต่มีความต้องการเพียงสองร้อย เขาย่อมมีความสุขได้ ส่วนเศรษฐีร้อยล้านมีความต้องการพันล้าน ก็คงต้องขาดความสุขเป็นแน่ฉะนั้น การยอมรับสถานภาพ และศักยภาพตัวเอง เป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ค้นพบความสุขได้ง่าย ไม่ว่ายากดีมีจน มีการศึกษาสูง หรืออ่านออกเขียนได้ แต่เมื่อค้นพบความสุขของตนเป็น ก็ถือว่าคุณได้บรรลุความเป็นมนุษย์และความเป็นมนุษย์นั้น ก็ไม่ต่างจากการบรรลุโลกุตรธรรมแต่ประการใดผมขอแถมความคิดต่อ...นิยามคำ “ธรรมะ” อีกข้อ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ชาวนา หาความสุขแบบชาวนา แต่หน้าที่ของคนเป็นพ่อนายกฯ อย่างตอนนี้น่าจะอยู่ที่ใช้ความมีบารมีผู้นำเหนือการเมือง เจรจาเรื่องภาษีกับคุณทรัมป์อย่างที่เขาพูดๆกัน โจรรู้เชิงโจร พ่อค้ารู้เชิงพ่อค้า...งานนี้ถ้าจบออกมาสวย...จะเอาประเทศไทยไปทางไหน พวกผม? จะทำใจยอม.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม