อาฟเตอร์ช็อกจากแผ่นดินไหวพม่าขนาด 3.7 เมื่อเช้าวันจันทร์ ทำเอาคนทำงานในตึกสูงวิ่งลงกันโกลาหลอีกครั้ง เรื่องทำนองนี้คนโบราณสอนลูกหลานด้วยนิทาน เรื่องกระต่ายตื่นตูมแต่เนื้อหากระต่ายนอนหลับเพลินใต้ต้นมะพร้าว เมื่อลูกมะพร้าวหล่นใส่หัวก็ตกใจบอกเพื่อนๆว่าฟ้าผ่า...น่าจะสอนใจคนรุ่นใหม่ไม่พอผมเจอเรื่อง “ปลาน้อยตัวสั่น” ในหนังสือเรื่องเล็กๆความหมายใหญ่ๆ (สำนักพิมพ์อินสไปร์ พ.ศ.2553) เรื่องราวน่าจะเข้าเค้ากว่า...ลองอ่านปลาน้อยว่านอนสอนง่ายตัวนั้น พ่อแม่สร้างถ้ำที่ปลอดภัยให้มันอยู่ กลางวันก็สั่งให้มันหลบอยู่ในถ้ำ ถึงกลางคืนจึงยอมให้มันว่ายออกไปหาอาหารแล้วจึงพลอยได้ว่ายน้ำเล่นได้บ้างมันจึงรอดปลอดภัยจากการเป็นเหยื่อปลาใหญ่ อยู่กับพ่อแม่อย่างสงบสุขเรื่อยมาพ่อแม่ปลาน้อยวางกฎกติกาหยุมหยิมมาก เช่น เวลาออกไปกินอาหาร ปลาน้อยต้องรอให้ปลาอื่นกินให้อิ่มหมีพีมันก่อน มันจึงได้กินอาหารส่วนที่เหลือหากวันไหนยังหาอาหารกินไม่ได้ ปลาน้อยจะไม่กล้าว่ายไปหาอาหารไกล มันจะยอมหิวว่ายกลับไปอยู่ในถ้ำ“จำไว้นะลูกหนา! ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่ม ก็ยังดีกว่าตาย” พ่อแม่ย้ำแล้วก็ย้ำเล่า เจ้าปลาน้อยก็จำฝังใจเพราะวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เพื่อความอยู่รอดนี่เอง ปลาน้อยตัวนี้จึงไม่มีเพื่อน ไม่มีงานอดิเรก มันมีความคิดเรื่องเดียว “ขอบคุณฟ้าดิน ที่ฉันยังมีชีวิตอยู่”ถึงเวลาที่ปลาน้อยเติบใหญ่เป็นปลาวัยสาว โดยธรรมชาติมันจะต้องแต่งงาน แต่ปัญหาก็คือ มันจะต้องออกจากถ้ำไปแสดงตัวในแม่น้ำใหญ่ แม่น้ำซึ่งมีภัยรอบตัว จึงอาจจะหาคู่ได้ธรรมชาติเรียกร้อง เจ้าปลาสาวรวบรวมความกล้า แล้วก็เริ่มว่ายออกแม่น้ำ แต่ว่ายออกไปไม่ไกลสักเท่าไหร่ ความรักตัวกลัวภัย ก็ตามมาและแล้ว เจ้าปลาสาวก็ว่ายกลับไปตัวสั่นกลัวภัยอยู่ในถ้ำเหมือนเดิมเรื่องเล่าเจ้าปลาสาวตัวนี้ จบลงตรงมันเป็นปลาชรา มีอายุยืนถึงร้อยปีมีคำอธิบายความหมายใหญ่ๆ เริ่มต้นด้วยพาดหัวตัวหนังสือใหญ่ว่า “อย่ายอมจำนนต่อความกลัว”เจ้าปลาน้อยมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เศร้าสร้อย มันเป็นปลาที่น่าสงสารวันเวลาผ่านไปถึงร้อยปี ชีวิตมันไม่มีอะไร ไม่มีความดีใจ ไม่มีความสุขใจ หรือความสบายใจ อยู่กับความรักตัวกลัวภัย ไร้ความหมาย เป็น “ปลาถ้ำ” ที่ไม่รู้เคยเห็นเดือนเห็นตะวันเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งในโลกนี้ ไม่ใช่การลิ้มรสความพ่ายแพ้จากการทดลอง แต่คือการไม่ยอมทดลองอะไรเลยไม่แน่ว่า ตลอดเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ทุกๆย่างก้าวที่ระหกระเหินทุกข์ยากหนักหนา เราจะต้องแสวงหาเส้นทางท่ามกลางความมืดมนต่อไป ไม่เจอแสงสว่าง...หรือ?มีคำว่า “หรือ” มากมาย ทำให้เราไม่กล้าเดินไปข้างหน้า เกิดอาการห่วงหน้าพะวงหลัง ถ้าไม่มี “หรือ” มากมายแบบนี้ ชีวิตจะมีสีสันมากเพียงไหน?เชคสเปียร์ กล่าวว่า...ความกลัวจะทำให้ความกล้าสูญเปล่า ความกลัวบ่อนทำลายพลังตัวเอง เพิ่มความกลัวต่อความเป็นจริงรอบข้าง เท่ากับเปิดช่องให้ความโง่เขลาโจมตีความล้มเหลวและเส้นทางที่ขรุขระนั้น ไม่น่ากลัวแต่ความจำนนต่อความกลัว และการหยุดก้าวเดินไปข้างหน้า เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอ่านเรื่องเจ้าปลาน้อยจบแล้ว เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ควรจะคิดได้ ชีวิตที่มีเภทภัย มีแผ่นดินไหวให้ทดสอบพลัง ทดสอบสติปัญญาบ้าง... มีรสชาติกว่าชีวิตน่าอายของกระต่ายตื่นตูมเยอะเลย.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม