เรื่องผู้หญิงในชุดไทยเดินจากกระจก นั่งพับเพียบสวดมนต์กับโยมพร้อยในโบสถ์ วัดดาวดึงษาราม เมื่อปี 2559 คือ เจ้าจอมแว่น พระสนมคนโปรดรัชกาลที่ 1 เป็นเรื่องที่ผมมโนไกลไปคนเดียวคุณพระปลัดวีระ ผู้เล่า ท่านไม่ได้เออออเอากับผมด้วย แต่กระนั้นผมก็อยากให้รู้จัก เจ้าจอมแว่น ซึ่งมีประวัติชัดเจน เป็นผู้สร้างวัดดาวดึงษ์มากขึ้นอีกในหนังสือคนสำคัญในราชสำนัก จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ (แสงดาวพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2551 งานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ ปีนี้น่าจะยังมีขาย) พินิจ หุตะจินดา ผู้เขียน เริ่มต้นว่าพ.ศ.2322 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตีเมืองเวียงจันทน์สำเร็จ กวาดต้อนครอบครัวเชลยลาว เจ้าอุปฮาด (เจ้าดวงหน้า) เจ้านันทเสน นางแก้วยอดฟ้ากัลยาณีศรีกษัตริย์ ราชบุตรธิดา เจ้าสิริบุญสาร มายังกรุงธนบุรีโดยมีเจ้านางคำแว่น เชื้อลาวพุงขาว ร่วมเดินทางมา ในฐานะ บาทบริจาริกาเจ้านางองค์นี้ทำงานรับใช้เป็นที่ชื่นชอบพระราชอัธยาศัย ตั้งแต่ก่อนเป็นรัชกาลที่ 1 จะทรงขึ้นปราบดาภิเษก และเมื่อเสวยราชย์แล้ว เจ้านางคำแว่น ได้เป็นเจ้าจอมแว่นพระสนมเอกรับหน้าที่จ่าวังมีเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง ร.1 บรรทมหลับละเมอเสียงดัง พวกข้าราชบริพารตกใจวุ่นวาย เจ้าจอมแว่นตัดสินใจกัดนิ้วพระบาท จนรู้สึกพระองค์ เมื่อทรงทราบก็ยิ่งทรงโปรด ระดับความวางใจถึงขั้น “ทูลอะไรก็ได้”เรื่องใหญ่เรียกกัน วรรณกรรมกระซิบ...นมส.บันทึกไว้ใน ขัตติยราชปฏิพัทธ์ เมื่อครั้งเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (ร.2) ทรงลอบรักใคร่ได้เสียกับ “เจ้าฟ้าบุญรอด” จนเจ้าฟ้าบุญรอดทรงพระครรภ์สองพระองค์เกรงพระราชอาญามิกล้ากราบทูล งานนี้เข้าเจ้าจอมแว่น เจ้าจอมรอเวลาที่ ร.1 สบายพระราชหทัยรับสั่งเรื่องเก่าๆจึงกระเถิบเข้าไปกระซิบกราบทูล“แม่รอด เดี๋ยวนี้ท้องได้4 เดือน” ทรงพระพิโรธอึ้ง ตรัสว่า “ท้องกับใคร” “จะมีใครเสียอีกเล่าก็พ่อโฉมเอกของคุณหลวงน่ะซี” รับสั่งถาม “คนใหญ่หรือคนเล็ก” คนใหญ่หมายถึงสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยคุณเสือทูล“พ่อฉิมนั่นแหละเจ้าค่ะ น่ารักน่าชมสมกันจริงๆ มีลูกมีเต้าออกมาจะอุ้มชูก็ไม่น่ารังเกียจ ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา” “พี่น้องเขายังอยู่เขาไม่รู้ก็จะหาว่ากูสมรู้ร่วมคิดเป็นใจให้ลูกมากุมเหงเขา”คุณเสือร้อนใจพักใหญ่ หาโอกาสทูลถาม “ราชทารกในพระครรภ์” จะเป็นเจ้าฟ้าหรือไม่ เมื่อตรัสตอบ “ เจ้าฟ้า” ก็ค่อยโล่งใจ เรื่องจบเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา) เข้าไปขอพระราชทานอภัยโทษมีเรื่องเล่าภายหลังงานนี้เจ้าจอมแว่นเป็นทุกข์มาก ถึงขั้นไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ เมื่อเรื่องจบเจ้าจอมแว่นได้สร้างวัดขึ้นที่กลางสวนตำบลบางยี่ขัน วัดนี้แต่แรก คนทั้งหลายเรียกวัด “ขรัวอิน”เพราะสมภารเจ้าวัดและญาติเจ้าจอมแว่นที่ผู้ศรัทธาปฏิบัติธรรมในวัด ชื่ออินเหมือนกันต่อมารัชกาลที่ 2 พระราชทานชื่อใหม่เป็นวัดดาวดึงษสวรรค์ รัชกาลที่ 3 โปรดพระราชทานนามใหม่เป็นวัดดาวดึงษาราม ในรัชกาลที่ 3 สภาพวัดทรุดโทรมมาก พระยามหาเทพ (ปาน) ต้นสกุลปาณิกบุตร ปฏิสังขรณ์ใหม่หลังรื้ออุโบสถหลังเก่าและกุฏิ “คุณอิน” ญาติเจ้าจอมแว่นทิ้งข้อสังเกต ข้อมูลที่ พินิจ หุตะจินดา เขียน แตกต่างจากที่รู้กันมา เจ้าจอมแว่นบนสร้างวัดอธิษฐานขอให้ ร.1 หายพระประชวร...แต่เรื่องแบบนี้คือเสน่ห์ของเรื่องราววัดดาวดึงษ์ประโยชน์ที่ผมได้จากการอ่านครั้งใหม่...ข้อสงสัยกระจกบานใหญ่ ในกรอบไม้ฉลุลงรักปิดทองสวยงามสองบาน...ของใช้ของผู้หญิง ต้นเรื่อง ผู้หญิงชุดไทยเดินออกมา มาอยู่ในโบสถ์ได้อย่างไร?มีช่องทางคิดต่ออาจเป็นกระจก “คุณอิน” ญาติเจ้าจอมแว่นนำติดตัวจากวังมาใช้ในวัดและเรื่องที่ผมมโนไว้ผู้หญิงชุดไทยในกระจกนั้น ถ้าไม่ใช่ เจ้าจอมแว่นก็น่าจะเป็น “คุณอิน” คนนี้.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม