ไฟใต้ร้อนระอุขึ้นมาอีกระลอก “กลุ่มโจรใต้” เลือกเป้าหมายก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ทั้งลอบยิง และวางระเบิดสถานที่ราชการลักษณะโจมตีเชิงสัญลักษณ์ที่มีแนวโน้มถี่มาตั้งแต่เดือน ก.พ.2568เพื่อเพิ่มความกดดันเพิ่มอำนาจ “การต่อรองกับภาครัฐ” ทำให้กระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความไม่ปลอดภัย ส่งผลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ยากมากขึ้นทุกวันล่าสุดคนร้ายป่วนในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส “ลอบยิง วางระเบิด คาร์บอมบ์” โดยเฉพาะบุกเข้าถล่ม อส.ในที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก คืนวันที่ 8 มี.ค.2568 “เจ้าหน้าที่พลีชีพ 5 คน บาดเจ็บอีก 10 คน” ปัจจัยแนวโน้มก่อเหตุถี่ขึ้นนี้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่าคนร้ายก่อเหตุคราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า “รัฐบาลกำลังอ่อนแอ” โดยเฉพาะชนวนรากฐานคดีตากใบที่ปล่อยหมดอายุความไม่มีการดำเนินการใดๆ ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขให้คนในพื้นที่รู้สึก “ไม่ได้รับการปกป้องจากรัฐ และไม่ได้รับความเป็นธรรม” เป็นจุดอ่อนสำคัญซึ่งถูกนำมายุยงปลุกปั่นของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต.โดยใช้เหตุการณ์ตากใบ “ขยายฐานการสนับสนุนปลุกระดมให้ชาวบ้าน” ออกมาร่วมเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบ เห็นได้ชัดมาตั้งแต่ “คดีตากใบหมดอายุความ” การปฏิบัติการของกลุ่มก่อความไม่สงบมุ่งเน้นโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ และสถานที่หน่วยงานราชการ เพื่อช่วงชิงมวลชนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐมาเป็นกลยุทธ์ชนวนก่อเหตุถัดมาคือ “กระบวนการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” นับตั้งแต่ท่านเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายก รัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ชุดใหม่ “ผ่านมาหลายเดือนกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ” แถมยังมีกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนตัวคณะพูดคุยสันติสุขอีกด้วยซ้ำจริงๆแล้วการแก้ไขปัญหาในจชต. “รัฐบาลต้องเดินหน้ากระบวนการสันติสุขอย่างจริงจัง” ประเด็นที่จะพูดคุยต้องเน้นให้ “เกิดพื้นที่ปลอดภัย และการอำนวยความยุติธรรม” เพราะจะได้ใจจากประชาชนสามารถดึงมวลชนมาอยู่ฝ่ายเรานำมาซึ่งข่าวกรองมีประสิทธิภาพเพียงแต่ตอนนี้โครงสร้างนโยบายยังไม่เอื้อให้ทำได้เพราะมัวแต่ไปสับสนกับ “การทำแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวมหรือ JCPP” ในส่วนตัวมองตรงนี้เป็นเรื่องรองแต่เรื่องเร่งด่วนต้องขับเคลื่อนคณะพูดคุยสันติสุข “กำหนดพื้นที่ปลอดภัย” โดยมีสถานที่กรอบเวลาชัดเจน “ถ้าฝ่ายเห็นต่างมาเจรจาทำไม่ได้” ฝ่ายไทยก็ต้องมีมาตรการเข้มข้นอธิบายสังคมได้ประการต่อมา “รัฐบาลส่งสัญญาณถอดทหารส่งไม้ให้ฝ่ายพลเรือนเป็นกำลังหลักในการดูแลพื้นที่” โดยเริ่มลดบทบาททหารส่งให้พลเรือนในปี 2570 ด้วยการใช้ อส.กระทรวงมหาดไทย และตำรวจ ซึ่งจะเป็นกองกำลังมาจากคนในพื้นที่ที่มีความคุ้นเคยกับชาวบ้านเข้ามาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นใน จชต. “ล้วนเป็นเรื่องความมั่นคงภายใน” ตามหลักสากลแล้วมักต้องใช้เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน และตำรวจเป็นกำลังหลักสำคัญที่เป็นกลไกมีความยืดหยุ่นมากกว่า “ทหาร” สามารถสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนได้ง่าย เพียงแต่ว่า “กองทัพ” ก็ต้องคอยเป็นกำลังสนับสนุนด้วยเช่นกันส่วนความพร้อม “กองกำลังอาสาสมัครทำงานกับทหารในพื้นที่มานานจนมีทักษะอยู่แล้ว” เพียงแต่ต้องเสริมความสามารถในการป้องกันตัวเอง ดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนได้รับความร่วมมือจากกองทัพบกคอยมาเป็นพี่เลี้ยงจัดส่งครู และผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมให้มีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมทุกด้านสิ่งสำคัญ “การลดบทบาทกองทัพ” ย่อมจะทำให้กฎหมายพิเศษ กฎอัยการศึกไม่จำเป็นต้องมีด้วย “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ” ก็จะใช้กรณีฉุกเฉินจำเป็นคงเหลือไว้เฉพาะ “พ.ร.บ.ความมั่นคง” จะทำให้สถานการณ์เหมือนเป็นปกติ เพราะการใช้กฎอัยการศึกมักเป็นลักษณะ “สงคราม” ไม่เอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน หรือการท่องเที่ยวเช่นนี้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเลยเปลี่ยนเป้าหมาย “เน้นโจมตีกำลังอาสาสมัคร และตำรวจ” เพราะก่อนนี้ก็มีปฏิบัติการส่งข้อความข่มขู่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน-ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ให้เข้ามาร่วมเป็นอาสาสมัครด้วยซ้ำฉะนั้นการก่อเหตุยิงถล่ม อส.ในที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลกอาจเป็นการสร้างสถานการณ์ช่วงรัฐบาลยังไม่มั่นคงแสดงเชิงสัญลักษณ์ข่มขู่ให้ชาวบ้านเกิดความกลัว “ไม่กล้าเข้ามาทำงานเป็น อส.”สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนให้เห็นว่า “รัฐบาลไทยอ่อนแอ” กำลังเป็นช่องโหว่ปัญหาความมั่นคงหลายด้านที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จชต.ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจาก “รัฐบาลใหม่” ที่เป็นรัฐบาลพลเรือนยังไม่ช่วงชิงในการปรับโครงสร้างการรองรับการผ่องถ่ายอำนาจจาก “กองทัพมาเป็นฝ่ายพลเรือนดูแลในพื้นที่” ยังคงใช้โครงสร้างแบบเดิมๆ ก่อเกิดเป็นช่องโหว่ช่องว่างให้ผู้ก่อความไม่สงบสามารถใช้ความรุนแรงในห้วงเดือนรอมฎอนที่พี่น้องชาวมุสลิมถือศีลอดแถมยังใช้ช่วงถือศีลอดนี้มาเป็นข้ออ้าง “การก่อเหตุช่วงเดือนรอมฎอนจะได้รับผลบุญเป็น 10 เท่า” แม้ว่าจะเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องก็ถูกนำมาผสมโรงเชื่อมโยงกับรากฐาน “ปัญหาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมคดีตากใบ” จนนำมาสู่การยุยงปลุกปั่นสร้างเหตุการณ์ความไม่สงบของขบวนการที่เห็นต่างสุดโต่งขึ้นนี้เรื่องนี้กำลังเป็นมิติใหม่สำหรับ “การใช้ช่วงถือศีลอดก่อเหตุความรุนแรง” เพราะปกติในช่วงเดือนรอมฎอนจะถือเป็นเดือนศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของปี “ส่วนใหญ่มักจะทำบุญกันสำหรับชาวมุสลิม” แต่หลังสิ้นสุดก็จะเฉลิมฉลองอันจะเป็นช่วงของการก่อเหตุความรุนแรง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายเห็นต่างปรับเปลี่ยนใหม่แล้วทำให้ตั้งข้อสังเกตว่า “ฝ่ายก่อความไม่สงบแตกเป็น 2 ปีก” กล่าวคือปีกแรก...“กลุ่มไม่อยากพูดคุยสันติสุข” ออกมาแสดงพลังการคุมพื้นที่สร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้าน-จนท.รัฐ แต่เรื่องนี้ยังต้องพิสูจน์ทราบกันต่อปีกที่สอง...“กลุ่มก่อความไม่สงบต้องพูดคุยสันติสุข” แต่ด้วยรัฐบาลยังไม่เดินหน้ากลไกการพูดคุยสันติสุขอย่างที่ควรเป็น “ฝ่ายเห็นต่าง” เลยพยายามออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งรัดคณะพูดคุยสันติสุขโดยเร็ว ขณะที่รัฐบาลกลับไม่แสดงถึง ทิศทางนโยบายให้ชัดการดับไฟใต้ โดยเฉพาะไม่ปรับโครงสร้างให้รองรับการแก้ปัญหา สร้างพื้นที่ปลอดภัยและการอำนวยความยุติธรรมจนเป็นปัญหาจุดอ่อนลุกลามหาข้อยุติได้ยาก ฉะนั้นสถานการณ์ความไม่สงบ 3จชต.ส่งผลกระทบภาพลักษณ์โดยรวมทั้งประเทศ “รัฐบาล” ต้องผลักดันการแก้ปัญหาให้เป็นวาระแห่งชาติเร่งด่วน มิเช่นนั้นปัญหานี้จะลุกลามต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม