เรื่องเล่า “ตาบอดคลำช้าง” ท่านอาจารย์พุทธทาส ค้นมาจากพระไตรปิฎกเล่ม 25 หน้า 179 ท่านเขียนไว้ในหนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ ตั้งแต่ พ.ศ.2477ลองอ่านนะครับ สำนวนตอนท่านยังหนุ่มๆ งดงามเข้มขลัง แบบไหน?ครั้งนั้น สมณพราหมณ์และปริพาชก เดียรถีร์ต่างๆ ในเมืองสาวัตถี ล้วนมีความเห็นต่างๆกัน มีสิ่งที่เห็นว่าควรต่างๆ กัน ชอบใจต่างๆกันเช่น พวกหนึ่งเห็นว่าโลกเที่ยง อีกพวกเห็นว่าโลกไม่เที่ยง... โลกมีที่สิ้นสุด โลกไม่มีที่สิ้นสุด...บางพวกว่า ชีพก็ดวงนั้น ร่างกายก็ร่างนั้น อีกพวกว่า ชีพก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่น ฯลฯสมณพราหมณ์เหล่านั้น แตกกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยปาก...อย่างนี้ถูก อย่างนั้นไม่ถูก อย่างนั้นไม่ถูก อย่างนี้ซิถูกครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมาก ไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถีเวลาเช้า กลับจากบิณฑบาต เข้าไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าภิกษุทั้งหลาย ในเมืองสาวัตถีนี่เอง มีพระราชาองค์หนึ่ง รับสั่งให้ราชบุรุษ ประชุมพวกคนตาบอดแต่กำเนิดแล้วรับสั่งให้นำช้างมา ให้คนตาบอดบางพวกคลำที่ตัวช้าง ทั่วกันแล้วพระราชาเสด็จไปตรัสถามว่า “พวกเจ้าเห็นช้างแล้ว มิใช่หรือ?”“เห็นแล้ว เทวะ!” “พวกเจ้าเห็นแล้ว ถ้าเช่นนั้น ช้างนั้นรูปร่างเป็นอย่างไร?”พวกที่ได้คลำหัวช้าง ทูลว่า “ช้างเหมือนหม้อ เทวะ!” พวกที่คลำหูช้างทูลว่า “ช้างเหมือนกะด้ง เทวะ!”พวกที่คลำปลายงาช้าง ทูลว่า “ช้างเหมือนผาล เทวะ!” พวกที่คลำงวงช้างทูลว่า “ช้างเหมือนงอนไถ เทวะ!”พวกที่คลำตัวช้าง ทูลว่า “ช้างเหมือนยุ้งข้าว เทวะ!” พวกที่คลำเท้าช้าง ทูลว่า “ช้างเหมือน เสาเรือน เทวะ!”พวกที่คลำหลังช้าง ทูลว่า “ช้างเหมือนปากครก เทวะ!” พวกที่ได้คลำท่อนหาง ทูลว่า “ช้างเหมือน สาก เทวะ!”และพวกสุดท้ายที่ได้คลำขนหาง ทูลว่า “ช้างเหมือน ไม้กวาด เทวะ!”ในที่สุด พวกคนตาบอดเหล่านั้น ได้รบกันด้วยหมัด กล่าวว่า “ช้างเป็นอย่างนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ช้างไม่ใช่อย่างนั้น เป็นอย่างนี้ๆ”พระราชา ทรงพอพระทัยแล้วจบชาดก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น”ที่สมณพราหมณ์ปริพพาชกผู้เป็นเดียรถีร์ต่างๆ เป็นผู้บอดไม่มีจักษุ ไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่รู้สิ่งไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้ธรรม ไม่รู้อธรรมเมื่อไม่รู้ ก็แตกกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงกันอยู่ด้วยหอกปากตรัสสอนพระภิกษุทั้งหลายจบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งพระอุทาน เป็นพระคาถา ท่านอาจารย์ พุทธทาส แปลเป็นไทยว่า “ได้ยินว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมติดแน่นในความเห็นอย่างหนึ่ง”...หมู่คนที่คิดเห็นแต่ปลายข้างหนึ่งข้างเดียว ครั้นเข้าใจสิ่งนั้นๆแตกต่างกันแล้ว ก็วิวาทบาดหมางกันสมัยหนุ่มๆผมอ่านหนังสือเล่มใหญ่ๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาสมาหลายเล่ม วันนี้แก่มากหูตาฝ้าฟาง ส่วนใหญ่ก็อาศัยฟังเสียงจากสื่อมือถือวันนี้เพ่งสายตาอ่านหนังสือเล่มเล็ก พอรู้นี่เป็นงาน 90 ปี ข้อเขียนนี้ถ้าเป็นพระกริ่งเนื้อนวโลหะ ก็ถือว่าเก่าสนิมคร่ำดำทั้งองค์ ผมจึงซาบซึ้งถึงขั้นขนลุกซู่ ลืมการเมืองฝนตกขี้หมูไหลไปเลย.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม