ผมเพิ่งอ่าน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนกันยายนสกู๊ปปกเรื่อง “ประธานสภาพัฒน์ มองอนาคตประเทศไทย” ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์เอกซ์คลูซีฟ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คนใหม่ เป็นการ มองภาพ “อนาคตประเทศไทย” ในฐานะที่เป็น Think Tank ของรัฐบาล มีหน้าที่เสนอนโยบายเศรษฐกิจต่อรัฐบาลโดยตรง ดร.ศุภวุฒิ มีความเห็นว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันเป็นโจทย์ที่ยากมากและท้าทาย แต่ในความเห็นส่วนตัวแล้วยังเห็นว่า ประเทศไทยต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง จึงจะสามารถก้าวพ้นกับดักต่างๆ ไปได้ดร.ศุภวุฒิ ได้ชี้ให้เห็นถึง จุดอ่อน และจุดแข็งของประเทศไทยที่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ พร้อมกับตั้งคำถามที่ท้าทายว่า “ประเทศไทยกล้าเปลี่ยนไหม”ดร.ศุภวุฒิ ได้ยกตัวอย่าง การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในอดีต รวมถึง วิธีการสร้างเศรษฐกิจใหม่ในอดีต จนทำให้ประเทศ ไทยเข้าสู่ “ยุคโชติช่วงชัชวาล” และเกือบจะเป็น “เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย” ช่วงนั้น เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตร้อนแรงกว่า 10% จนรัฐบาลต้องทำงบประมาณเกินดุลเป็นครั้งแรก เพื่อฉุดความร้อนแรงของจีดีพีลงมา แตกต่างจากรัฐบาลไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ต้องทำงบประมาณขาดดุลทุกปี ต้องกู้เงินมาอุ้มจีดีพีกันทุกปี จนถึงวันนี้ รัฐบาลมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากกว่า 11 ล้านล้านบาท เกือบ 64% ของจีดีพี ซึ่ง นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงในรัฐสภาวันแถลง นโยบายว่า หนี้สาธารณะของรัฐบาลจะชนเพดาน 70% ในปี 2570 อีก 3 ปีข้างหน้าดร.ศุภวุฒิ ประธานสภาพัฒน์ เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น “ที่ปรึกษานายกฯ” อีกตำแหน่งหนึ่ง ได้ชี้ให้เห็นถึง “3 โจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องแก้ไข” ดังนี้1. สัดส่วนการส่งออกต่อจีดีพีลดลง หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง สัดส่วนการส่งออกของไทยขยายตัวถึงจุดสูงสุดที่ 71.4% ของจีดีพี แต่ในปี 2566 ที่ผ่านมา สัดส่วนการส่งออกของไทยลดลงเหลือ 65.4% ของจีดีพี เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการเป็นหลักเมื่อการส่งออกสินค้าและบริการต่อจีดีพีลดลง ขีดความสามารถในการแข่งขันก็ลดลง2. รัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณเพื่อพยุงเศรษฐกิจมากขึ้นช่วงปี 2518–2522 ไทยเผชิญวิกฤติราคานํ้ามันแพง เงินเฟ้อสูง จีดีพี ของไทยมีการขยายตัวเฉลี่ย 6.8% รัฐบาลจัดทำงบประมาณขาดดุล 3.2% ของจีดีพี หมายความว่า รัฐบาลต้องกู้เงินมา 3.2% ของจีดีพี เพื่ออุ้มให้จีดีพีมีการเติบโตที่ 6.8% ต่อมา ช่วงปี 2523–2539 ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตดีมากจากภาคการผลิต ทำให้รัฐบาลต้องชะลอเศรษฐกิจให้คลายความร้อนแรงลง แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังเติบโตสูงถึง 8.6% ไม่เช่นนั้นอัตราการเติบโตที่แท้จริงจะพุ่งไปถึง 10% ปี 2552–2562 จีดีพีไทยเติบโตเฉลี่ยที่ 3.2% รัฐบาลจัดทำงบประมาณขาดดุล 2.4% ของจีดีพี สะท้อนว่าที่จริงแล้วจีดีพีเติบโตได้เองเพียง 1% เท่านั้น หลังโควิดปี 2565–2566 จีดีพีเติบโตเฉลี่ย 2.2% รัฐบาลทำงบประมาณขาดดุลถึง 4.2% ของจีดีพี แสดงว่าจีดีพีจริงๆ ติดลบถึง –2% และ ปี 2567 ปีนี้รัฐบาลคาดว่าจีดีพีจะโต 2.6% และทำงบประมาณขาดดุล 3.7% จีดีพีจริงปีนี้คือติดลบ –1.1% น่าตกใจไหม3. คนรวยที่มีเงินออมส่วนเกินนำเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ ช่วงหลังโควิด ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 4.5% เพราะคนรวยมีเงินเหลือ เอาเงินไปลงทุนต่างประเทศ ไปสร้างความเจริญในต่างประเทศ แบบนี้ประเทศก็โตไม่ได้ดร.ศุภวุฒิ ยังได้ชี้ให้เห็นถึง จุดแข็งของไทย ตั้งแต่ ภาคการเกษตร อาหาร ต่อยอดไปสู่ ภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพ เป็น service Center of Asia หรือ Wellness Center of the World โดยตั้งคำถามที่ท้าทายว่า “ประเทศไทยกล้าเปลี่ยนไหม” ข้อมูลที่ให้สัมภาษณ์มีเยอะมาก แต่เนื้อที่มีจำกัด ผมจึงเก็บมาเล่าย่อๆเพียงบางส่วนเท่านั้น.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม