สถานการณ์การแพร่ระบาด “ปลาหมอคางดำ” ที่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ “หลุดรอดเข้าฟาร์มเพาะเลี้ยงกินสัตว์น้ำตัวอ่อนกุ้ง และปลา” สร้างความเสียหายให้เกษตรกรเป็นวงกว้างแล้วอย่างน้อย 16 จังหวัดในขณะนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่กระทบ “เศรษฐกิจภาคการประมง” ทำลายความหลากหลายของระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด น้ำกร่อย และลุกลามลงสู่ทะเล ด้วยลักษณะเฉพาะปลาชนิดนี้สามารถปรับตัว “ทนทุกสภาพแวดล้อม” ทำให้ปลาท้องถิ่นถูกกินเป็นอาหารลดจำนวนลงแล้วปลาหมอคางดำนี้ก็จะเป็นปลาหลักในแหล่งน้ำนั้นแทนหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดวิกฤติหนักส่งผลให้ “กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ต่างออกมาส่งเสียงเรียกร้องสะท้อนผ่านเวทีเสวนา “ปลาหมอคางดำ ทำลายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไทย ใครรับผิดชอบ?” จัดโดยสภาที่สามเมื่อไม่นานมานี้ คัมภีร์ ทองเปลว ตัวแทนประชาคมคนรักแม่กลองให้ข้อมูลว่า ความจริงฟาร์มทดลอง “ปลาหมอคางดำของบริษัทเอกชน” อยู่ห่างจากบ้าน 3-4 กม. ถูกตั้งมาตั้งแต่สมัยตัวเองยังเป็นเด็ก “แต่ไม่รู้ว่าทำการทดลองอะไร” จนในปี 2555 ชาวบ้านเริ่มเห็นหน้าปลาหมอคางดำเข้ามาอยู่ในบ่อธรรมชาติหลุดเข้า “บ่อเลี้ยงกุ้ง” ส่งผลให้ปริมาณกุ้งลดลงแต่ปลาหมอคางดำกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยเฉพาะปี 2556-2557 “ปลาหมอคางดำเริ่มระบาดอย่างหนัก” เพราะด้วยแม่กลองเป็นเมืองสามน้ำมี 600 คลอง ทำให้ปลากระจายไปทั่วคุ้งน้ำเชื่อมต่อ อ.เขาย้อย และบางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นวงกว้าง และทำลายพันธุ์ปลาหมอเทศตามธรรมชาติหายไปเกือบหมดปลายปี 2559 “ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จ.สมุทรสงคราม และ จ.เพชรบุรี” ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อ “คกก.สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ลงพื้นที่มาตรวจสอบเนื่องจากเป็นปลาต่างถิ่นที่มีบริษัทเอกชนนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ก็น่าเสียดายการตรวจสอบคราวนั้น “ไม่ทำให้สิ้นข้อสงสัยในสาเหตุ” ทำให้บานปลายมาจนถึงทุกวันนี้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจแต่ไม่อาจคำนวณเป็นตัวเลขได้” ด้วยสถานการณ์ทำให้ระบบนิเวศล่มสลาย “ทำลายศักดิ์ศรีคนชั้นล่างสุด” ไม่อาจหาอยู่หากินในระบบนิเวศที่สมบูรณ์สุดท้ายต้องไปเป็นลูกจ้างโรงงานแล้วอย่าลืมว่า “เศรษฐกิจ” มักเริ่มจากฐานรากมีทรัพยากรสมบูรณ์ “ประชาชน” หากินได้หลากหลายอาชีพทำให้กลายเป็นนายของตัวเอง “มีความคิดเป็นอิสระ” จนที่ผ่านมา จ.สมุทรสงคราม เป็นจังหวัดที่นักการเมืองซื้อเสียงไม่ได้ “ประชาชนก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” แต่ว่าวันนี้ระบบนิเวศกำลังจะล่มสลายจนชาวบ้านหาอยู่หากินไม่ได้เหมือนเดิม ส่งผลให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกลิดรอนทำลายลงไปอย่างช้าๆทว่าสำหรับ “การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ” ปัจจุบันได้แพร่ระบาดไปในหลายจังหวัด “จำเป็นต้องเร่งกำจัดโดยด่วน” แต่ภาครัฐกลับประกาศรับซื้อ 15 บาท/กก.สวนทางกับกลุ่มเกษตรกร 16 จังหวัดที่เสนอให้รับซื้อ 20 บาท/กก. เพราะการจับปลาชนิดนี้มีค่าใช้จ่าย ค่าแรง ค่าอุปกรณ์เครื่องมือ และค่าขนย้ายอันมีต้นทุน 10 บาท/กก.แล้ว เหตุนี้เราขอเสนอให้รับซื้อราคา 20 บาท/กก. “เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรช่วยกันกำจัดปลา” จึงขอวิงวอนต่อนายกรัฐมนตรีช่วยเกษตรกรในเรื่องนี้อันจะเป็นการป้องกันไม่ให้ระบบนิเวศต้องถูกทำลายอีกด้วยถัดมา “การกำจัดด้วยวิธีเหนี่ยวนำพันธุกรรมให้ปลาเป็นหมัน” ที่รัฐบาลประกาศจะปล่อยปลาถูกดัดแปลงสปีชีส์ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำให้กลายเป็นหมันลงแหล่งน้ำในเดือน ธ.ค.2567 สิ่งนี้ฝ่ายการเมืองกำลังกดดันข้าราชการให้เร่งดัดแปลงสปีชีส์ปลาอันเป็นความเสี่ยงต่อการได้มาซึ่งเอเลี่ยนซุปเปอร์สปีชีส์ปลาชนิดใหม่เพราะตามหลักการการดัดแปลงสปีชีส์ปลามีขั้นตอนทำการทดลองไม่ต่ำกว่า 1 ปี “การเร่งดัดแปลงปลาเร็วเกินไปอาจเกิดความผิดพลาดกลายเป็นเอเลี่ยนปลาตัวใหม่” ถูกปล่อยในแม่น้ำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิมก็ได้ ดังนั้นภาครัฐควรพิจารณาแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างรอบคอบ ถูกต้อง และเป็นไปตามหลักวิชาการในส่วนกรณีกรมประมงประกาศมาตรการ 6 เรื่องในการกำจัดปลาหมอคางดำนั้นเท่าที่สังเกตเป็นมาตรการค่อนข้างทับซ้อนอย่างกรณีการควบคุมปลา “ขัดแย้งกับการนำไปใช้ประโยชน์” ดังนั้น ขอเสนอให้จับปลาเข้าโรงงานปลาป่นที่เดียว “ไม่ควรกระจายไปโรงงานพื้นที่อื่น” เพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเป็นเหมือนลิงแก้แหเช่นเดียวกับ บุญยืน ศิริธรรม คนแม่กลองในฐานะประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค บอกว่า ปัญหาปลาหมอคางดำนั้นเกิดจาก “มาตรการอุตสาหกรรมต่อเนื่องการทำการเกษตร และการแปรรูป” อันเป็นช่องโหว่ข้อกฎหมายให้นายทุนใหญ่เข้ามากว้านซื้อที่ดินทำบ่อทดลองเลี้ยงปลาหมอคางดำในพื้นที่ จ.สมุทรสงครามนี้ แต่การทดลองคราวนั้น “ไม่ประสบความสำเร็จ” เพราะปลาหมอคางดำไม่ใช่ปลาเนื้อ โตช้า แถมเนื้อปลาไม่อร่อย “เลี้ยงไม่คุ้มค่า” นับแต่นั้นชาวบ้านก็เริ่มสังเกตเห็นปลานิลก็ไม่ใช่ ปลาหมอไทยก็ไม่ใช่ แล้วก็พบว่า “ปลาท้องถิ่น” ไม่ว่าจะเป็นปลากระบอก และปลาตะกรับที่ถูกจัดมีเนื้ออร่อยถูกปลาหมอคางดำทำลายไปจนหมดซ้ำร้ายภาครัฐกลับแก้ปัญหา “ด้วยการรังสรรค์เมนูปลาหมอคางดำ” กระตุ้นการจับให้ลดจำนวน แต่คนสมุทรสงครามมองว่าไม่ใช่เมนูน่ากินอันมีปลาอื่นอร่อยน่ากินกว่านี้ “มิได้หมดทางเลือกต้องกินปลาหมอคางดำ” แต่ว่าตอนนี้ไม่ต้องกลัวน่าจะได้กินปลาหมอนี้ตลอดไปแน่ๆ เพราะปลาชนิดอื่นได้ถูกทำลายจนจะไม่มีให้กินจริงๆแล้ว “เรื่องนี้กล่าวโทษภาคเอกชนฝ่ายเดียวคงไม่ถูกนัก” เพราะบริษัทนำเข้าถูกกฎหมายผ่านการขออนุญาตจาก “กรมประมง” เพียงแต่กระบวนการตรวจสอบล้มเหลว “ก่อให้เกิดการระบาดหนัก” แล้วส่วนมาตรการแก้ปัญหากลับใช้วิธีการปล่อย “ปลากะพงขาวขนาดเล็ก” ออกไปไล่ล่ากินปลาหมอคางดำที่ตัวโตกว่าหนำซ้ำยังนำเงินภาษีของประชาชนออกมารับซื้อปลาหมอคางดำ “เกิดความไม่เป็นธรรมต่อสังคม” ด้วยปลาหมอคางดำเข้ามากินกุ้งที่เคยขายได้ 400 บาท/ กก. หรือปูม้าขาย 1,000 บาท/กก.ไปจนหมด คงเหลือปลาหมอคางดำที่รัฐบาลประกาศรับซื้อ 15 บาท/กก. ทำให้เกษตรกรต้องเผชิญการขาดทุนอย่างยับเยิน“เรื่องนี้อยากให้เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายเข้าไปร้องต่อสภาองค์กรของผู้บริโภค หรือสายด่วน 1502 เพื่อรวมรายชื่อฟ้องเป็นคดีกลุ่มเรียกร้องค่าเสียหายจากภาครัฐแม้ว่าถ้าชนะคดีจะนำเงินภาษีของประชาชนมาชดใช้ก็ตามแต่ก็เพื่อเป็นบทเรียนให้รู้ว่าการจะเซ็นอนุญาตอะไรไปควรคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนก่อนเสมอ” บุญยืนว่า ประเด็นต่อมา “ปลาหมอคางดำปรับตัวในน้ำจืดน้ำกร่อยน้ำเค็มได้ดี” เรื่องนี้มีข้อมูลมาตั้งแต่ปีที่แล้วจากชาวบ้านออกไปตีปลาทูห่างจากชายฝั่ง 4-5 ไมล์ทะเลก็พบปลาหมอคางดำอยู่กันเป็นฝูงในอ่าวไทย ทำให้ปัจจุบันดอนหอยหลอดกำลังรับผลกระทบหนัก “แทบไม่เจอหอย” เพราะไข่หอย และไข่ปลาถูกกินจนหมดเช่นกันไม่เท่านั้น “ปลาหมอคางดำยังทนความเค็มสูง” ล่าสุดในนาเกลือหลายแห่งพบมีปลาหมอคางดำอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้อยากฝากแนวทาง “การกำจัดปลาหมอคางดำ” ไม่ควรให้ประชาชนไปจับปลามากินอย่างเดียว “ควรเพิ่มมาตรการหยุดการแพร่พันธุ์” ด้วยการใช้ความรู้ทางวิชาการอย่างถูกวิธีตั้งแต่การขนย้ายเข้าไปโรงงานปลาป่น “ไม่ควรให้น้ำจากปลาที่มีไข่ไหลลงถนน เสี่ยงไหลลงแหล่งน้ำสาธารณะระบาดขึ้นอีก” ด้วยการกำจัดปลาหมอคางดำแบบระบบปิด แล้วก็อย่าใช้ระบบข้าราชการมาจำกัดขอบเขตเงื่อนไขดำเนินการอย่าง “การจำกัดเวลารับซื้อกี่วันซื้อได้กี่กิโลกรัม” แต่ควรทำจนกว่าปลาชนิดนี้จะหมดไปส่วนการปล่อยปลากะพงนักล่า “ควรปล่อยปลาขนาดใหญ่” เพียงพอที่จะสามารถกินทั้งลูกปลาหมอคางดำและปลาหมอคางดำตัวเล็กได้ เพราะถ้าปล่อยปลากะพงขนาด 4 นิ้วลงไปคงไม่อาจล่าได้สำเร็จแน่ๆนี่เป็นสถานการณ์จาก “เกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ที่กำลังเผชิญการระบาดปลาหมอคางดำอันสะท้อนความต้องการความจริงใจจาก “ภาครัฐ” ในการแก้ปัญหาจัดการปลาชนิดนี้ให้สิ้นซากสูญพันธุ์ไปโดยเร็ว.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม