น่าอายที่สุด...เมื่อรู้จีดีพีไตรมาสแรกปีนี้ เวียดนามโต 5.7% เท่าฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียโต 5.1% มาเลเซีย 4.2% สิงคโปร์ 2.7% ส่วนไทยกระซิบเบาๆ ติ่งหู 1.5% ไม่รู้ตลอดปีจะหมู่หรือจ่า ตราบบ้านเมืองซึ่งได้ชื่อว่าอู่ข้าวอู่น้ำยังมีข่าวบริโภคข้าวเก่าเก็บโกดังนานร่วมทศวรรษเช่นนี้ตัดภาพมาที่ภาค “ท่องเที่ยว” ซึ่งจีดีพีไตรมาสแรกที่ปีนี้ 13.8% จึงเป็นทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจช่วยกู้คะแนนรัฐบาลไม่มีผิด ตั้งเป้ารายได้ต่างชาติต้อง 3.5 ล้านล้านบาทจากทัวริสต์ 34 ถึง 40 ล้านคน พลาดเป้าปีที่แล้ว 1.6 ล้านล้านเป็น 1.2 ล้านล้านบาท ยังดีที่พอสรุปค่าใช้จ่ายต่อหัวได้ 4.37 หมื่นบาท เป็นค่าที่พัก 35.50% อาหาร 22.81% ช็อปปิ้ง 18.20% พาหนะ 9.57% และอื่นๆโฟกัสหมวดที่พักซึ่งคือปัจจัยสำคัญต่อการสนับสนุนท่องเที่ยว ทั้งแบบพรีเมียมถึงประหยัด ตามนิยาม “ทัวริสต์” ที่องค์การท่องเที่ยวโลกหมายถึง “นักเดินทางจากที่พักถาวรไปเพื่อการท่องเที่ยวและพักค้าง 1 คืนขึ้นไป” แต่ถ้าไม่ค้างเรียก “นักทัศนาจร” สากลเรียก “วิสิทเตอร์”อดีตกูรูผู้เจนจัดปูมหลังเล่าว่า...แต่ก่อนท่องเที่ยวเป็นหน่วยงานเล็กๆ ฝากไว้กับรถไฟแล้วย้ายไปฝากต่อกรมโฆษณาการหรือกรมประชาสัมพันธ์ ขณะโรงแรมอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.โรงแรม พุทธศักราช 2478โดยเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ผู้ตรามาตรา 3 ระบุ “โรงแรม” เป็นสถานทุกชนิดที่ตั้งขึ้นเพื่อรับสินจ้างคนเดินทางประสงค์หาที่พักชั่วคราวกูรูทบทวน เรียกผู้ควบคุมและจัดการขณะนั้นว่า “เจ้าสำนัก” มีบทลงโทษตามมาตรา 19 ผู้ใดเปิดกิจการโดยมิได้รับใบอนุญาตถูกระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ต่อมาถูกปรับปรุงอีกหลายครั้ง ล่าสุดใช้ฉบับพุทธศักราช 2547 เปลี่ยน “เจ้าสำนัก” เป็น “ผู้จัดการ” ถึงวันนี้“ปี 2503 ก่อตั้งองค์กรท่องเที่ยวเป็นตัวเป็นตน” กูรูเสริม ดาราชัย ศิลปรัตน์“มีฝรั่งชาติตะวันตกตื่นมาเที่ยว 8 หมื่นคน แล้วพัฒนาสู่หลักแสนและล้านคนปี 2516 เพิ่มขึ้น 26.44% จากปีก่อนหน้าการลงทุนธุรกิจโรงแรมจึงเติบโตตามเงาทัวริสต์ จนเกิดสภาพโอเวอร์ซัพพลายบ้างในช่วงโลว์ซีซัน”ทำให้มีการบูลลี่ราคากันหั่นแหลก เลิกราเอาเมื่อเมืองไทยแทบไม่มีโลว์ให้ยุงเข้าไปวางไข่ห้องพักคราวนี้มาฟังโฮเทลเลียร์พูดบ้างเขาว่า...โรงแรมรับต่างชาติยุคนั้นร้อยทั้งร้อย ต้องอิมพอร์ตผู้บริหารเมืองนอกทั้งนั้น เพราะเรายังขาดบุคลากรระดับนี้ จะมีเพียงหนึ่งเดียวที่ขึ้นชั้น จีเอ็มโรงแรมหรู...ชื่อปรีชา แดงโรจน์ โฮเทลเลียร์ยุคนั้นรู้จักกันดี“ต่างชาติมือโปรฯ ที่ผ่านงานสวิส อังกฤษ ฝรั่งเศส...มักจะมาตกม้าตาย เมืองไทยที่ไร้ระบบโฮเต็ลเมเนจเมนท์ เจ้าของยังยึดติดระบบแฟมิลี่คนของข้าใครอย่าแตะ ยกตัวอย่างมีใครไม่รู้มาขอเปิดห้องฟรีกินฟรี ลองไม่ให้สิ!...เกิดเรื่องด้วยน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ากันมา”โฮเทลเลียร์รับว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวที่ก้าวไกลย่อมส่งผลต่อธุรกิจโรงแรม โดยต่อมาเมื่อคนไทยไปร่ำเรียนเมืองนอกกลับมาเป็นผู้บริหารสู่สไตล์สากล หมดยุคอาโกเป็นเจ้าสำนัก ปล่อยให้ลงทุนธุรกิจโรงแรม รองรับลูกที่จบเมืองนอกสาขาอะไรไม่รู้มีงานทำเสียทีโรงแรมไทยถึงพัฒนาคู่กันกับภาคท่องเที่ยว โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เผยว่า ในปี 2565 มีโรงแรมอยู่ทั่วทุกภูมิภาค 15,084 แห่ง เป็นห้องพัก 622,327 ห้องไม่เข้าข่ายโรงแรมตาม พ.ร.บ.อีก 4,009 แห่ง รวมทุกระดับ 19,093 แห่งในเมืองหลักเมืองรองท่องเที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวที่รัฐบาลจะเข็นให้ได้ 34 ถึง 40 ล้านคนปีนี้ ดาราชัย ศิลปรัตน์ เอ็มดี มีลาการ์เด้นรีสอร์ต ห้องพักดีลักซ์ 22 ห้อง มีสระว่ายน้ำจุดขายต่างชาติอยู่กลางป่าเดียวกับเขาใหญ่ ต.ลำพญากลาง ห่างมวกเหล็ก 40 กม. ปากช่อง 31 กม. เสริมว่ายุคนี้การแข่งขันค่อนข้างสูงเราเคยพึ่งเอเย่นต์รับจองต่างประเทศ ที่คุมตลาดไทยเป็นผู้ขายมีส่วนแบ่ง 30% โดยไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นต่างชาติ เฮดออฟฟิศอยู่สหรัฐฯ สาขาอยู่สิงคโปร์หลังเลิกสัญญาดาราชัยหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ทำตลาดเองขายตรง น่าสนใจว่า... ได้ผลตอบรับน่าพอใจ มาซ้ำครั้งและพักนาน 7 วันด้วยเห็นว่าธรรมชาติร่มรื่นสงบมีความเป็นส่วนตัวสูง“จึงมุ่งทำตลาดนีชมาร์เก็ต” ดาราชัย ว่ารับเทรนด์ผู้สูงวัยมาพักผ่อนเชิงสันทนาการ อยู่นานสัปดาห์ถึง 1 เดือน ขณะนี้รอการอนุญาตขึ้นทะเบียนดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง จากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขโดยต้องมีบุคลากรผ่านการอบรมไม่น้อยกว่า 420 ชั่วโมงตามค่านิยม เอ็มโอพีเอช เช่น เจซีไอ รับรองคุณภาพสถานพยาบาลอเมริกาอีกด้านจัดโปรแกรม “ส่องกล้องดูดาว” คืนแรม “ดาร์คสกาย ด้วยกล้องเลนส์ขยาย 900 มิลลิเมตร” จุดขายสำคัญก็คือ...บริเวณป่าแถบนี้ใกล้เขาใหญ่ปากช่องเหมาะดูดาวและ “ล่าช้าง” คือ “ทางช้างเผือก” หรือ “มิลกี้ เวย์” เติมเต็มด้วยกลุ่มแฟมิลี่ ได้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์กับ ททท.ให้ความรู้ ชมรมดาราศาสตร์ปากช่องสนับสนุน“อีกเซ็กเมนต์เป็นหนุ่มสาวที่หลังโควิดระบาดคนกลุ่มนี้ชอบกางเต็นท์นอนในที่โล่งมากกว่าห้องพัก และเลือกจะนอนดูดาวยามดึกดื่นไปด้วย” ต้นตระกูล กริชพิพรรธ์ต้นตระกูล กริชพิพรรธ์ หรือ โทนี่ คนรุ่นใหม่จบ ไอที อเมริกา ทายาทไวน์เนอรี่ปากช่อง เป็นสมาชิกชมรมดาราศาสตร์ ที่ปรึกษาโหมด “ซี สตาร์” ให้มีลา การ์เด้นฯ เสริมว่า ที่นี่เป็นเขตไร้มลภาวะแสง จึงเห็นทางช้างเผือกซึ่งมีกลุ่มดาวฤกษ์หลายล้านดวง โคจรมารวมกันที่ขอบกาแล็กซีได้ชัดเจนตั้งแต่เดือน 2 ถึง 11 เว้นช่วงหนาวและฝุ่นพิษ พีเอ็ม 2.5 คอยรบกวนกรณีฟ้ามืดมีประโยชน์กับธรรมชาติและมนุษย์ เช่น ไม่รบกวนเวลาพักผ่อน ประหยัดการใช้พลังงานแสงสะท้อนสู่ท้องฟ้าเป็นปัญหาการดูดาวเหมือนเมืองใหญ่คืนนั้นถ้าโชคดีมีโอกาสเห็นฝนดาวตกจากชั้นบรรยากาศลงมาให้คนร้อง “ว้าว!” ปกติก็เห็นกลุ่มดาวนายพราน “โอไรออน เนบิวลา” จ้าวอวกาศห่างโลก 1,350 ปีแสง คนไทยเรียกดาวเต่าหรือดาวไถดาวชนิดนี้พิลึก...คือปรากฏเมื่อใดจะไม่เห็นกลุ่มดาวแมงป่องขอบฟ้าตรงข้าม“ถ้าปรากฏแมงป่องก็ไม่มีนายพรานให้เห็นอีกขอบฟ้า... ดาวทั้งสองดูจะไม่ลงรอยกัน”นอกจากนี้มีบางกลุ่มสู้อุตส่าห์มาส่องท้องฟ้าดูดาวถึงที่นี่ ด้วยความเชื่อตามตำราโหราศาสตร์ผสมดาราศาสตร์ ที่ว่าดูลัคนาราศีตนขณะดาวกำลังโคจรทำมุมอยู่บนท้องฟ้าคืนเดือนมืดมัน...คือความสุขเล็กๆน้อยๆของคน ช่วงหนี้สินครัวเรือนพันคอรอดิจิทัลวอลเล็ตล่ะมั้ง?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม