แม้ว่าปัจจุบันจะมีการนำ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” มาใช้ในวงการแพทย์กันมากมาย แต่อีกมุมกลับพบ “วิธีการรักษาโรคด้วยไสยศาสตร์” เริ่มมามีบทบาทต่อคนในสังคมไทยแพร่หลายมากขึ้นสังเกตจากบนโลกอินเตอร์เน็ตปรากฏพบ “ผู้ประกอบพิธีกรรมอวดอ้างเป็นคนมีวิชาอาคม” โฆษณาชวนเชื่อสามารถรักษาคนเจ็บป่วย “ด้วยพลังเวทมนตร์” มีผู้คนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกเสียทั้งเงินทอง เป็นข่าวอื้อฉาวเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร บอกว่า ผศ.ดร.กังวล คัชชิมาความจริงแล้ว “ชีวิตมนุษย์เกิดมาต้องเจ็บป่วย” ทำให้คนสมัยโบราณมักจะเก็บสมุนไพรที่มีอยู่ในธรรมชาติ “นำมาทดลองใช้รักษาคนไข้แบบวิถีชาวบ้านซ้ำไปซ้ำมา” เพื่อให้ได้ตัวยาสามารถขจัดยับยั้งอาการของโรคนั้น ทั้งการวินิจฉัยโรคก็สังเกตจากพฤติกรรมอาการที่เกิดขึ้นกับ “ผู้ป่วย” ฝึกฝนจนผู้รักษาเกิดความชำนาญไม่เท่านั้นยังมีวิธีการตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ “รักษาโรคด้วยเวทมนตร์คาถา” เป็นวิชาความรู้ที่ถูกสืบทอดต่อกันมาจากปู่ย่าตายาย “บางคนก็รู้จริงแต่บางคนใช้วิธีการสุ่มเดารักษา” ส่งผลให้มีทั้งคนหายป่วยจริงและบางคนรักษาไม่ได้ผลก็มี แต่สิ่งนี้กลายเป็นมรดกภูมิปัญญาในการดูแลรักษาของคนท้องถิ่นพึ่งตนเองทำให้ยุคนี้ยังปรากฏเห็น “รูปแบบการรักษาโรคทางไสยศาสตร์” แต่ด้วยคนปัจจุบันยึดติดกับการดูแลสุขภาพสมัยใหม่มากไป กลายเป็นมองการรักษาแบบดั้งเดิมล้าหลังงมงายกับสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้หากย้อนดูตำราจะเห็นว่า “การแพทย์โบราณ” ส่วนใหญ่ใช้ยาสมุนไพรควบคู่วิธีรักษาทางไสยศาสตร์ แล้วคนประกอบพิธี “ต้องเป็นผู้รู้ด้านการปรุงยาสมุนไพรและมีวิชาอาคมพอสมควร” เพราะด้วยเวลาต้องออกไปหาเก็บสมุนไพร “จำเป็นต้องดูฤกษ์ยาม” ในส่วนการปรุงยาก็ต้องมีบทสวดคาถากำกับตัวยาแก้โรคเฉพาะ สำหรับบทสวดในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันอันเกี่ยวพันกับ “พุทธศาสนา” ถ้าดูตามรอยจารึกอโรคยศาลในสมัยประมาณ 900 ปีก่อนนั้น “มีการจารึกว่าศาสนาเข้าไปมีส่วนในการรักษาโรคก็มี” ตัวอย่างเช่น พระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าสูงสุดทางการแพทย์ และโอสถในศาสนาพุทธฝ่ายมหายานพระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแห่งการรักษาพยาบาล และทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากทุกข์จากโรคทางกายและโรคทางใจ “ทำการรักษา ผู้ตกทุกข์หลุดจากโรคภัย” สะท้อนเห็นถึงการรักษาแบบนี้มีมานานแล้วสืบทอดต่อกันมาเฉพาะครอบครัว ยกเว้นเคล็ดลับยาหรือคาถาสำคัญ มักไม่ถูกเขียนไว้ทำให้ขั้นตอนบางส่วนสูญหายกระทั่งต่อมา “สมัยรัชกาลที่ 5” ได้มีการรวบรวมวิธีแพทย์ของไทยโบราณขึ้นมาที่เรียกว่า “ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์” เพื่อเป็นหลักฐานเผยแพร่การแพทย์แผนโบราณและตำรายาพื้นบ้านของไทย แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาแบบความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือด้วยเวทมนตร์นั้นกลับไม่ถูกบรรจุไว้ในตำรานี้จึงทำให้เห็นว่า “ตำราในวงการแพทย์ไทย” ไม่ปรากฏวิธีการรักษาทางไสยศาสตร์ คาถา อาคม หรือพิธีกรรมความเชื่ออันเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม “ยกเว้นการปรุงยาสมุนไพร” ที่ยังรักษาสืบทอดกันมาอยู่จนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ “วิธีรักษาทางโรคไสยศาสตร์ถูกลบไป” ปัจจุบันรูปแบบพิธีกรรมเหล่านี้ก็ยังคงมีสืบทอดหลงเหลือให้เห็นอยู่ตามพื้นที่ชุมชน หมู่บ้านในชนบท เนื่องจากชาวบ้านยังมีความเชื่อและความศรัทธาในสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่จะสามารถปกป้องรักษาคุ้มครองภัยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงนั้นได้ประการถัดมา “การใช้ไสยศาสตร์รักษาโรคทางใจ” ด้วยผู้ป่วยแต่ละคนมีการเจ็บป่วยต่างกัน ขึ้นอยู่กับ “อาการร้ายแรงของโรค” สิ่งนี้นับเป็นความทุกข์จำเป็นต้องดูแลอาการทางใจควบคู่การรักษาโรคนั้นไปด้วยกันเช่นนี้ทำให้หมอพื้นบ้านมักใช้ความเชื่อศรัทธา “ประกอบพิธีกรรมบริกรรมคาถา” เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและญาติรู้สึกผ่อนคลาย เป็นการส่งเสริมสนับสนุนในการรักษาทางไสยศาสตร์ให้มีพลังประสิทธิภาพมากขึ้นและมีคำถามว่า “ทำไมยุคนี้สังคมไทยยังงมงายกันอยู่...?” ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน “ไม่อาจการันตีรักษาโรคได้ 100%” ขณะที่การรักษาทางไสยศาสตร์ก็พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ “บางคนรักษาหายและบางคนอาการหนักกว่าเดิมก็มี” แต่ด้วยความเชื่อเป็นความคิดไม่ต้องมีเหตุผลพิสูจน์ใดๆ “ดังนั้นคนในยุคนี้ก็ไม่ได้หลงงมงายกับการรักษาโรคทางไสยศาสตร์อะไรมากมาย เพียงแค่เขาอาจเคยรักษาตามหลักวิทยาศาสตร์ในโรงพยาบาล และผ่านมือแพทย์แผนปัจจุบันมานับไม่ถ้วนแล้ว แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นหรือ อาจมีบางอย่างทำให้ต้องตัดสินใจหันมาเลือกใช้วิธีการรักษาทางไสยศาสตร์แทนนี้” ผศ.ดร.กังวล ว่าเรื่องนี้ถ้าวิเคราะห์แล้วจะเห็นสาเหตุมาจาก “บางคนรักษาแล้วหาย” ซึ่งอาจเกิดจากการใช้สมุนไพรถูกต้องกับโรคตามอาการ หรือถูกโฉลกกับเทคนิคการประกอบพิธีกรรมรักษาแบบแผนโบราณ กลายเป็นประสบการณ์บังเอิญ “ถูกส่งต่อบนโลกสื่อสารกระจายออกไปทั่ว” เมื่อประชาชนทราบก็ต้องพากันมาพิสูจน์เป็นธรรมดาอย่างเช่น “กรณีอาจารย์ฝ่ามือพลังจิต” ที่อ้างมีวิชาพลังจากการฝึกฝนสมาธิ และทำการรักษาผู้ป่วยมีปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ด้วยการเดินถีบผู้ป่วย แต่ละคนมีทั้งผู้อาการดีขึ้นและอาการแย่ลงเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลล้วนๆ “คล้ายกับความเชื่อการเห็นผี” ในบางคนเคยมีประสบการณ์กับการเจอผีก็เชื่อว่า “ผีมีจริง” แต่ในขณะที่ คนไม่เคยเห็นผีเลยก็จะวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องงมงายหลอกลวงด้วยซ้ำ ถัดมาถ้ามองอีกด้าน “ไสยศาสตร์เป็นสิ่งด้านมืด” หากบุคคลนั้นไม่ตกอยู่ในสภาวะความกลัวไร้ทางออกจริงๆ มักไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งนี้ “ดังนั้นคนมาพึ่งพาไสยศาสตร์ล้วนไม่มีทางเลือกอื่น” อย่างเช่น กรณี “ผู้ป่วยโรคมะเร็ง” แม้เคยเข้ารักษากับแพทย์แผนปัจจุบันในโรงพยาบาลมาแล้วแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเมื่อมีข่าวว่า “หมอพื้นบ้านสามารถทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์รักษาโรคร้ายได้” ด้วยความที่ทุกคนเกิดมาล้วน “ไม่อยากตาย” ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้ต่างต้องพากันมารักษาเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปดังนั้นการจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า “คนพึ่งพาไสยศาสตร์นั้นงมงาย” อาจต้องเปิดใจให้กว้างแล้ววิเคราะห์ทบทวนรายละเอียดแห่งเหตุผลความจำเป็นสำคัญของบุคคลนั้นด้วย “เว้นแต่การทำพิธีเรียกรับเงินรับทองมากเกินไป” ลักษณะนี้อาจต้องใช้วิจารณญาณหรือแจ้งหน่วยงานภาครัฐดำเนินการตรวจสอบเร่งด่วนย้ำด้วยปัจจุบัน “ผู้อวดอ้างวิชาอาคมรักษาโรคเยอะขึ้นเรื่อยๆ” แต่เท่าที่ติดตามบุคคลเหล่านี้มักเป็นผู้ร่ำเรียนวิชาในตำราฉบับไม่สมบูรณ์ หรือบางคนสร้างเรื่องอุตริขึ้นมาเอง “ทำให้ผลลัพธ์การรักษาโรคไม่ค่อยสมบูรณ์เหมือนดั่งคนสมัยโบราณสืบทอดต่อกันมา” ส่วนใหญ่จะมีผลประโยชน์เข้ามาสอดแทรกด้วยเสมอ หนำซ้ำยังทำให้ประชาชนบางคนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ “สูญเงินทอง” มีตั้งแต่หลักร้อยบาท หลักหมื่นบาท หรือบางคนเสียเป็นหลักแสนบาทก็มี “กลายเป็นว่าศาสตร์ในการรักษาโรคทางไสยศาสตร์เกิดการปนเปื้อน” ส่งผลให้ภูมิปัญญาด้านนี้ที่คนสมัยโบราณรักษาสืบทอดต่อกันมาต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วยเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว “ประชาชนควรต้องใช้วิจารณญาณในการเชื่อ” ด้วยสังเกตพฤติกรรมจากการเรียกรับผลประโยชน์ในการทำพิธีรักษาโรคนั้น เพราะตามหลักคนเรียนวิชาด้านนี้มามักเป็นผู้บำเพ็ญบารมี มุ่งหวังการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เว้นแต่เป็นค่าครูตามความศรัทธาเท่านั้นนี่คือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน “แม้นวิทยาการจะก้าวไปไกลเพียงใด” แต่คนไทยบางส่วนยังใช้ไสยศาสตร์เป็นที่พึ่ง “กลายเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ของบางกลุ่ม” ฉะนั้นแล้วเราคงต้องเชื่ออย่างมีสติ เพราะมิเช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อจนต้องเสียทั้งเงินและเสียทั้งกายตามมาได้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม