ศัพท์ที่ 3 ในหนังสือ “ภาษาสรรวรรณศัพท์”(สถาพรบุ๊คส์ พ.ศ.2566) อาจารย์ ปรัชญา ปานเกตุ แจกแจงความหมายการใช้คำว่า “ซ่อง” ไว้อย่างลุ่มลึก พิสดาร เกินคำบรรยาย จนพื้นที่คอลัมน์ผม ใส่ไม่พอผมขออนุญาต คัดสรร มาใช้...ตามความสะใจ ก็แล้วกัน“ซ่อง” หนึ่งหมายถึงร้องสรรเสริญ เปล่งเสียงร้องพร้อมๆกัน ตัวอย่างจากบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง “...บวงสรวงซ่องเซทุกเวลา รักษาศีลด้วยช่วยอุดหนุน...”แต่ในโคลงนิราศสุพรรณ “ซ่อง” หนึ่งหมายถึงอาการเดินช้าๆ ค่อยๆย่อง ดังตัวอย่าง “ค้อนหอยค่อยคุ้ยดิน เดินซ่อง มองแฮ...”“ซ่องแซ่ง” หรือ “กระซ่องกระแซ่ง” หมายถึงอาการเดินเหยียบไม่ถนัด เดินทรงตัวไม่อยู่ เพราะอ่อนแรงตัวอย่างจากพระอภัยมณี “คลานออกมาจากห้องเดินซ่องแซ่ง สิ้นเรี่ยวแรงยืนหันให้ฟั่นเผือ”“ซ่อง” หนึ่งหมายถึงการประชุม เขียนเป็น “ส้อง” ก็มี ตัวอย่าง จากโคลงยวนพ่าย “พระมาคฤโฆษเรื้อง แรงบุญ ท่านนา ทุกทั่วดินบนเกรง กราบเกล้า พระเสด็จแสดงคุณ ครองโลกย ไส้แฮ เอกกษัตรส้องเฝ้า ไฝ่เห็นขอเห็น”“ซ่องสุม” ใน “ชิดก๊กไซ่ฮั่น” หมายถึงการรวมคนให้มาร่วมกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง “เราคิดว่าจะซ่องสุมผู้คนตั้งแข็งเมืองขึ้นทำศึกแก่ฮั่นอ๋อง แล้วชิงเอาเมืองเอ๊กเอี๋ยง และเมืองห้ำเอี๋ยงให้จงได้”แอบซ่องซุ่มชุมนุมกันเพื่อรอโอกาส ในสิงหไกรภพ ก็ใช้ “เที่ยวตั้งกองซ่องซุ่มอยู่มากมาย บรรดานายที่มาพบสมทบกัน”“ซ่องเสพ” หรือเขียนเป็น “ส้องเสพ” มีสองนิยาม ในโคลงโลกนิติจำแลง ใช้ในความหมาย คบหากัน เข้าเป็นพวกเดียวกัน “มีลูกไม่รับเลี้ยง หลักฐาน เมียแต่งหาเหตุพาล หลีกลี้ ส้องเสพสุราบาน ลักเล่น เบี้ยแล...”แต่ใน ประชุมคำพากย์รามเกียรติ์ ภาค 4 ใช้ในความหมายถึงการร่วมประเวณี “กูใช่หญิงสามานย์หมาย จะส้องเสพชาย ผู้อื่นอันใช่สวามี...”เรียกการเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มาอยู่เป็นหมวดเป็นกองกัน เช่นนั้นว่า “จัดซ่อง” หรือ “ตั้งซ่อง” ตัวอย่างในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบันพันจันทนุมาศ (เจิม)“พระราชทานขันเงินแก่สมิงภักดีศรีขรินทร์ และพระราชทานผ้าเสื้อถ้วนทุกคน แล้วให้ขึ้นไปจัดซ่องละว้าทั้งปวง ได้สากรรจ์อพยพคน 600...”ผู้เป็นใหญ่หรือผู้เป็นหัวหน้าซ่อง โคลงโลกนิติ เรียก “นายซ่อง” ตัวอย่าง“นายเรือนใหญ่อยู่เหย้า เรือนตน นายซ่องเป็นใหญ่คน ลูกบ้าน...”“ซ่อง” คำเดียว สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงใช้ในความหมายถึงย่านชุมนุมชน...ทรงอธิบายว่าระเบียบจัดท้องที่ในการปกครองแบบเดิม แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ เมือง บ้าน ซ่อง...“ซ่อง” เป็นที่คนแรกไปตั้งรวบรวมกันอยู่ ยังไม่เป็นปึกแผ่น “บ้าน” เป็นที่ซึ่งคนไปตั้งบ้านเรือนอยู่ประจำเป็นปึกแผ่นแล้ว แต่ราษฎรปกครองกันเอง “เมือง” รวมที่หลายบ้าน มีรัฐบาลและโรงศาลปกครองเมื่อเสียง/ซ/และเสียง/ช/สลับกันได้ “บ้านช่อง” จึงเป็นคำเดียวกับ “บ้านซ่อง” เช่นถ้อยคำสำนวนว่า ตึกกว้านบ้านช่อง ถิ่นฐานบ้านช่อง บ้านช่องห้องหอ ฯลฯต่อมา มักใช้หมายถึงมั่วสุมกันลับๆ เช่น ซ่องการพนัน ซ่องโจร ซ่องนางโลม ฯลฯให้ความรู้เรื่อง “ซ่อง” และ “ช่อง” แล้ว อาจารย์ปรัชญา...ก็จบด้วยเรื่องเล่าเรียกรอยยิ้ม “หายไปไหนตั้งนานบ้านช่องไม่กลับ” เขาถามเพื่อนผู้คลั่งไคล้จอมยุทธ์นิยายกำลังภายใน “อามิตตาพุทธ เราอยู่ในป่ามาพักใหญ่”“คงซุ่มฝึกเพลงหมัดเมฆา...หรือเพลงบาทาไร้เงา” เพื่อนผู้เยี่ยมยุทธ์ส่ายหน้าพูดแผ่วเบา “เปล่า เราหลง”.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม