น่าสนใจและน่าศึกษา ทำไมประเทศเล็กๆอย่างอิสราเอล ซึ่งมีพื้นที่เพียง 22,072 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเพียง 15% จึงกลายเป็นประเทศเกษตรชั้นนำ สามารถดึงดูดชาวนา ไทยให้ไปทำงานเกษตร เช่น ปลูกกล้วยได้ ทั้งที่ไทยเป็นประเทศเกษตรชั้นนำของโลกเห็นได้ชัดว่าแรงจูงใจสำคัญ ที่ทำให้ลูกหลานชาวนาไทย ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นชาวอีสาน ให้เสียค่าเดินทาง (อาจรวมทั้งค่านายหน้า) หัวละนับแสนๆบาทไปรับจ้างปลูกกล้วยในอิสราเอล แรงจูงใจคือค่าตอบแทนที่สูงจากคำบอกเล่าของครอบครัวแรงงานไทยบอกว่า แรงงานได้รับค่าจ้าง 50,000 บาท พอๆกับการขายแรงงานในเกาหลีใต้ เดือนละ 50,000 ถึง 60,000บาท แรงงานไทยในสองประเทศ ต่างไม่อยากกลับบ้าน แม้จะมีปัญหาแรงงานผิด กฎหมายในเกาหลีใต้ อาจถูกดำเนินคดี ส่วนที่อิสราเอลต้องเสี่ยงด้วยชีวิตเปรียบกับค่าตอบแทนในประเทศไทย ค่าแรงขั้นต่ำโดยเฉลี่ยวันละ 337 บาท หรือประมาณเดือนละกว่า 10,000 บาทเล็กน้อย นั่นคือแรงงานทั่วไป แต่ถ้าเป็นชาวนาอาจได้ค่าแรงน้อยกว่า จึงต้องดิ้นรน ยอมเสียเงินและเสี่ยงภัยไปทำงานที่อิสราเอล ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ากระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าครอบครัวเกษตรกรกว่า 10% มีรายได้ใต้เส้นความยากจนแสดงว่าไม่ใช่ยากจนธรรมดา แต่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัส ซ้ำยังมีหนี้สินรุงรัง ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 คนไทยเป็นหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 86.8% ของจีดีพี แม้จะลดลงจาก 90.1% แต่เป็นการลดเนื่องจากจีดีพีเพิ่มขึ้น รัฐบาลชุดก่อนประกาศขจัดความจนให้สิ้นซาก แต่กลับเพิ่มคนจนจาก 13 ล้าน เป็น 20 ล้านคนจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ชาวนาผู้ยากจน โดยเฉพาะในภาคอีสาน ต้องดิ้นรนและเสี่ยงชีวิตไปขายแรงงานที่อิสราเอล อีสานเป็นภาคที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุด และคนส่วนใหญ่ทำนาปลูกข้าว ซึ่งต้องการน้ำมากที่สุด แต่ระบบชลประทานไม่ทั่วถึงเหมือนภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่จึงต้องทำนาหนเดียว และต้องพึ่งเทวดาอีสานมีประชากรมากที่สุด จึงมี สส.มากที่สุด และกลายเป็นภาคที่ชี้ขาด พรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล แต่ขณะนี้ไม่มีพรรคใดมีนโยบายแก้ภัยแล้งและน้ำท่วมอีสาน ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาการทำนาอีสาน รัฐบาลใหม่แก้ด้วยการพักหนี้ 3 ปี แต่พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลว แม้จะตามด้วยการแจกเงิน หมื่นก็อยู่ได้แค่ 6 เดือน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม