คนไทยตั้งตารอโฉมหน้า “นายกรัฐมนตรีและ ครม.ชุดใหม่” ที่จะเข้ามาบริหารประเทศตามที่เคยประกาศนโยบายให้ “สัญญากับประชาชน” จนได้รับคะแนนโหวตผ่านการเลือกตั้งเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลนี้อันเป็นความหวังสำคัญที่ “คนไทย” อยากเห็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ และการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทย “เปลี่ยนแปลงประเทศสู่ความปรองดองฯ” ก้าวไปข้างหน้าสะท้อนผ่านเวทีเสวนา “ทิศทางประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง” โดยมี ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.การคลัง บอกว่าเท่าที่ติดตาม “เศรษฐกิจโลก” ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการระบาดโควิด-19 สงครามยูเครน-รัสเซีย รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของทั่วโลกให้สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้สถาบันการเงิน ตลาดทุน และตลาดหลักทรัพย์ ไม่สามารถปรับตัวได้ทันจนทำให้สถานการณ์แย่ลง นั่นก็ส่งผลให้ “สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง” ต้องประสบปัญหาขาดทุนล้มละลายอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง กลายเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า “ปี 2566–2567 การเติบโตด้านเศรษฐกิจโลกจะขยับขึ้นเล็กน้อย” สังเกตจากธนาคารโลกลดขนาดความเจริญเติบโตจากร้อยละ 2.9 เหลืออยู่ที่ร้อยละ 2.8ถ้าย้อนกลับมาดู “ประเทศไทยต้องเผชิญอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น” นับตั้งแต่ปี 2565 อันมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับสูงถึง 6-7% แต่ต้นปีนี้อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 3% เพราะเศรษฐกิจไทยขยับดีขึ้น 3% ทำให้เชื่อว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตขึ้นกว่า 4% และอัตราเงินเฟ้อก็จะลดลงต่ำกว่า 2.5%สาเหตุเพราะ “ภาคการท่องเที่ยวไทย” เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2565 จำนวน 12 ล้านคน และตั้งแต่ต้นปีนี้ก็มีต่างชาติเข้ามาแล้ว 12 ล้านคน ทำให้คาดว่าตลอดทั้งปีการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านคน ในด้านการส่งออกนั้นช่วงต้นปีมา “ติดลบ 7%” ส่วนครึ่งปีหลังน่าจะเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วและมีคำถามว่า “จะทำให้ประชาชนมีรายได้อย่างไรนั้น” จึงขอเสนอหลักการบริหารให้คนทำงานมีรายได้ด้วยการปรับค่าเงินลงเหลือร้อยละ 5 จากตัวเลขเคยส่งออก 11 ล้านล้านบาท และ GDP 18 ล้านล้านบาท ทำให้มีเงินรายได้เพิ่ม 5.5 แสนล้านบาท โดยไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มแต่สามารถใช้วิธีการปรับลดค่าเงินลงเท่านั้นประการถัดมา “ทิศทางการปรองดอง” ปกติทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความรู้สึกนึกคิดปราศจากการถูกครอบงำ และกระบวนการพิจารณาตัดสินต้องถูกต้องเป็นธรรม “อันจะนำมาซึ่งการปรองดองได้” แต่ด้วยประเทศไทยขาดประเด็นนี้แถมกลุ่มผู้มีอำนาจยังครอบงำผู้มีอำนาจน้อยกว่าด้วยซ้ำยิ่งกว่านั้น “การตัดสินบางครั้งก็ไม่ยุติธรรม” ทำให้คนยากจนรู้สึกยอมรับไม่ได้เช่นนี้ “รัฐบาลคนรุ่นใหม่กล้าพูดกล้าทำ” ควรสนับสนุนให้ประชาชนมีอำนาจด้วยการย่อขอบเขตอำนาจ 20 กระทรวง 35 รัฐมนตรีให้เล็กลง “อันเป็นโครงสร้างแบบเก่า” แล้วเปลี่ยนแปลงหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอิสระให้ทำงานอย่างโปร่งใสยุติธรรมทั้งต้องมีการเปิดให้แข่งขันด้วยความโปร่งใส ไม่มีการครอบงำด้วยความไม่มีเหตุผล ถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ย่อมนำไปสู่ “สังคมใหม่” ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพการแสดงออกปราศจากการถูกครอบงำความปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้ ในส่วน “นโยบายต่างประเทศค่อนข้างแอ็กทีฟน้อย” ควรแสดงตัวตนบนเวทีโลกมากขึ้น ด้วยการแสดงความคิดเห็นกรณีเกิดเหตุการณ์สำคัญบนโลกอย่างเหมาะสม จะทำให้ประเทศไทยดูดีในสังคมระหว่างประเทศสิ่งสำคัญ “อย่าแสดงภาพเป็นลูกน้องของประเทศใดอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้” ดังนั้น ต้องเปลี่ยนวิธีทำงานด้านการต่างประเทศให้ทันสมัยอย่างเช่น “อินโดนีเซีย” ที่สร้างความโดดเด่นจนกลายเป็นผู้นำอาเซียนจากการพัฒนาการชำระเงินแบบใหม่ไม่อาศัยธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (BIS)เช่นเดียวกับ อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า หลังการเลือกตั้งภาคอุตสาหกรรมคาดหวังอยากเห็น “รัฐบาลชุดใหม่” มีความพร้อมด้านการบริหารประเทศที่เข้าใจโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน และมีทีมทำงานมีความรู้ความสามารถเก่งจริงเข้ามาแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองทั้งมีความพร้อมเผชิญหน้าปัจจัยเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ “แม้จะเคยชูนโยบายประชานิยมหาเสียงมาแบบใดก็ตาม” แต่นโยบายที่ยั่งยืนควรยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง “ผู้นำคนใหม่ต้องเป็นกลาง” ที่พร้อมเข้ามาบริหารประเทศอย่างไม่เกรงใจกลุ่มทุนการเมืองเพราะที่ผ่านมา “ประเทศไทยเกิดปัญหาวงจรอุบาทว์” จากการทุจริตคอร์รัปชันมากมายแล้วจึงขอให้รัฐบาลบริหารประเทศด้วยความจริงใจ ซื่อสัตย์ และทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญเหตุนี้คิดว่า “ต้องปฏิรูปอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ” เพราะท่านทราบหรือไม่ว่าต้นทุนผลิตพลังงานไฟฟ้าแพงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น “เกิดจากการวางโครงสร้างที่ผิดเอื้อประโยชน์ให้นายทุนบางส่วน” แล้วด้วยสงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้ปัญหาซุกไว้ใต้พรมโผล่ขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายโอเวอร์ดีมานด์ของไฟฟ้า มีค่าพร้อมจ่าย (FT) ที่บริโภคต้องจ่าย การจัดสรรสัมปทานพลังงานอ่าวไทยไม่เป็นธรรม หรือขาดการวางแผนโครงสร้างไฟฟ้าต้องพึ่งพาพลังงานสะอาดในอนาคตปัจจัยหนึ่งก็มาจาก “การคอร์รัปชัน” ที่เป็นปัญหาวังวนมักเอื้อสู่ระบบอุปถัมภ์อันเป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำ ผูกขาด การแข่งขันไม่เสรี และการคอร์รัปชันของนายทุน นักการเมือง หรือข้าราชการประจำบางคน “ภาคเอกชน” อยากเรียกร้องขอให้รัฐบาลชุดใหม่ปฏิรูประเบียบ และกฎหมายให้สอดรับกับภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้นตอกย้ำที่ผ่านมา “ภาคอุตสาหกรรมจะเปิดโรงงานสักแห่ง” ต้องทำการขออนุญาตหลายกรมหลายกระทรวง “แต่ละขั้นตอนกล่าวอ้างปรับเปลี่ยนระเบียบใหม่” แต่กลับเดินได้ด้วยระบบดูแลต่างตอบแทนกัน อันมีข่าวลือสาเหตุจาก “การสร้างค่านิยมนายทุนสนับสนุนนักการเมือง” ทำให้ข้าราชการตงฉินต้านระบบนี้ไม่ไหว แน่นอนว่าข้าราชการประจำที่ต้องการเติบโตในหน้าที่ตำแหน่งตัวเอง “จำยอมต้องโอนอ่อนตามภาคการเมืองที่ต้องการนั้น” ฉะนั้นภาคเอกชนจึงอยากเห็นพรรคการเมือง “ส่งคนดี สะอาดโปร่งใส่ กล้าเปิดเผยทรัพย์สิน” มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศแล้วเรียกร้องสังคมเลิกนับถือคนรวยไม่มีที่มาที่ไปของทรัพย์สินได้หรือไม่หากไม่สามารถแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน หรือการตอบแทนเอื้อประโยชน์ให้นายทุนนั้นก็ยังต้องเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์มีการเลือกข้างเลือกพวก “ความปรองดองก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้” จนทุกวันนี้ก็ไม่แปลกใจนักธุรกิจหลายคนเคยอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองกลับมาเล่นการเมืองเอง เพราะพวกเขาต้องเจ็บตัวมาเยอะแล้วประเด็น “นโยบายต่างประเทศ” ประเทศไทยไม่ควรเลือกข้าง ไม่ควรเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งด้วยการหาจุดแข็งอย่าง “การสร้างสินค้าเกษตรแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่ม” ไม่ว่าจะเป็นยางพาราแทนที่จะส่งเป็นยางแผ่นเท่านั้นก็ควรผลิตเป็นสินค้า “เพื่อการส่งออกในจีนและอเมริกา” เพื่อการเพิ่มมูลค่ามากกว่าที่ผ่านมาจริงๆแล้ว “ประเทศไทยมีจุดแข็งเพียงพอต่อการสร้างศักยภาพบนเวทีโลกได้” แต่กลับเลือกเดินตามบางประเทศ เพราะหวังขายฐานการผลิตเทคโนโลยีอันมีมูลค่าน้อยมาก ดังนั้น เราควรอยู่ให้เป็นด้วยการใช้จุดแข็งที่มีอยู่โดยเฉพาะสินค้าการเกษตรแปรรูปให้เกิดการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความยั่งยืน ฝากไว้ว่าเราอยากเห็น “นายกฯและรัฐมนตรีแถลงนโยบายเป็นราย กระทรวง” แล้วเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามทุกประเด็น “หากไม่สามารถตอบได้ก็ไม่สมควรเข้ามารับตำแหน่ง” เพราะนี่คือโอกาสที่ประชาชนจะได้เห็นวิสัยทัศน์“นโยบายเชิงรุก และความจริงใจของผู้นำ” ที่จะเข้ามาบริหารแต่ละกระทรวงนั้นสุดท้ายนี้ “หลังเลือกตั้งคนไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง” จากระบบครอบงำสังคม ครอบงำความยุติธรรม อันเป็นสงครามตัวแทนสู่ความขัดแย้งมาช้านาน “รัฐบาลชุดใหม่” ต้องจริงใจนำคนเก่งคนดีเข้ามาบริหารทำลายระบบครอบงำนี้เพื่อให้เกิดความปรองดองขึ้นได้จริง.