วันเสาร์สบายๆ วันนี้ไปท่องแดนอารยธรรมอียิปต์กันต่อนะครับ เสาร์ที่แล้วผมพาท่านผู้อ่านไปดูอียิปต์ปัจจุบัน เสาร์นี้ผมจะพาย้อนยุคไปสู่ “อียิปต์โบราณ” ดูความเจริญและความยิ่งใหญ่ของอียิปต์โบราณที่มีวิทยาการสูงล้ำ สามารถทำ “มัมมี่ฟาโรห์” สร้างพีระมิดวิหารและหลุมฝังศพฟาโรห์ที่ใหญ่โตลึกลับ จนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถคลี่คลายปริศนาได้ ชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่อพยพมาจาก เอเชีย แอฟริกากลาง และตะวันตก มื่อ 5,000–8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และรวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่แบ่งเป็น อียิปต์สูง และ อียิปต์ล่าง เมื่อ 3,200 ปีก่อนคริสตกาล3,200-2,300 ก่อนคริสตกาลเป็นสมัยที่อารยธรรมอียิปต์เริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกฟาโรห์เมเนส ได้ทรงรวบรวม อียิปต์บน และ อียิปต์ล่าง เข้าด้วยกัน สถาปนาเป็น “ราชวงศ์ฟาโรห์ที่ 1” ขึ้นปกครองเมื่อ 3,200 ปีก่อนคริสตกาล มีฟาโรห์ปกครองทั้งสิ้น 6 ราชวงศ์จนถึงปี 2,300 ก่อนคริสตกาล ช่วงสองศตวรรษแรกมีเมืองหลวงชื่อ ธีบส์ (Thebes) ตั้งอยู่ในอียิปต์บน ต่อมา ฟาโรห์โจเซอร์ ราชวงศ์ที่ 3 ได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ เมมฟิส (Memphis) เรียกว่า สมัยเมมฟิส สมัยนี้ เริ่มมีการสร้างพีระมิดเพื่อเป็นที่ฝังศพของฟาโรห์ กันมาก จึงเรียกเป็น “ยุคพีระมิด” ในยุคของ ฟาโรห์ซีนุสเรต (Senusret) ได้โปรดให้ขุดคลองจากแม่น้ำไนล์ไปเชื่อมกับทะเลแดงฟาโรห์โจเซอร์ เป็นฟาโรห์องค์แรกที่มีดำริให้สร้าง “พีระมิดขั้นบันได” ซึ่งเป็นต้นแบบของ พีระมิดทรงสามเหลี่ยม เพื่อใช้เป็นที่ฝังพระศพ โดยมี “อิมโฮเทป” อัครมหาเสนาบดีและสถาปนิกชื่อดังเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง พีระมิดแห่งแรกสร้างขึ้นที่เมืองซัคคารา สูง 60 เมตร กว้าง 115 เมตร ยาวเกือบ 140 เมตร มีขั้นบันได 6 ขั้น เพื่อให้ฟาโรห์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ชาวอียิปต์เชื่อในเรื่องของ “ชาติหน้า” ภายในพีระมิดแห่งแรกนี้มีรูปแกะสลักของฟาโรห์โจเซอร์ในท่าประทับนั่งบนบัลลังก์ ถือเป็นประติมากรรมชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดจนลุเข้าสมัย ราชวงศ์เมมฟิสที่ 6 ข้าหลวงที่ฟาโรห์ส่งไปปกครองมณฑลต่างๆเกิดความกระด้างกระเดื่องตั้งตัวเป็นใหญ่ ก่อให้เกิดสงครามชิงอำนาจกันยาวนานกว่า 200 ปี จนอ่อนกำลังลง ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 12 ก็ได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ รวบรวมแผ่นดินอียิปต์กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง พระองค์ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่เมื่อมีอำนาจ พระองค์ทรงแต่งตั้งประชาชนอียิปต์ให้ดำรงตำแหน่งต่างๆในรัฐบาล เป็นสมัยที่ อียิปต์เจริญรุ่งเรืองและเป็นประชาธิปไตยที่สุด เรียกกันว่าเป็น “ยุคทองของอียิปต์” ก่อนอำนาจของฟาโรห์จะเริ่มเสื่อมลงยุครุ่งเรืองของอียิปต์อีกยุคหนึ่งคือ ยุคฟาโรห์อาห์โมสที่ 1 (Ahmosl) และ ฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 (Thutmos lll) ทรงขยายดินแดนอียิปต์ไปจนถึงลุ่มแม่น้ำยูเฟรติสและตอนใต้สุดของแม่น้ำไนล์จนถึงสมัย ฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Rameses ll) ราว 3,300 ปีก่อน ทรงทำสงครามกับพวกฮิตไทต์ นักรบจากเอเชียไมเนอร์ที่รุกรานเข้ามานานถึง 16 ปี แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ต่างฝ่ายต่างอ่อนกำลังลงจึงได้เปิดการเจรจายุติสงคราม ทำสนธิสัญญาแบ่งดินแดนซีเรียกับฮิตไทต์ในปี 1272 ก่อนคริสตกาล ถือเป็น สนธิสัญญาฉบับแรกของโลกที่เก่าแก่ที่สุด จากนั้นอียิปต์ก็เสื่อมลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้นของ กรีก ในสมัย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อสิ้นพระชนม์ ทอเลมี (Ptolemy) แม่ทัพใหญ่กรีกก็สถาปนา ราชวงศ์ทอเลมีที่ 30 ขึ้นปกครองอียิปต์ต่อมา และสร้าง เมืองอเล็กซานเดรีย ขึ้นเป็นเมืองศูนย์การค้าและศิลปวิทยาพระนางคลีโอพัตราที่ 7 เป็นราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ทอเลมีที่ปกครองอียิปต์ พระนางได้ปลงพระชนม์พระสวามีถึง 2 พระองค์ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์ ยอมเป็นนางสนมของ จูเลียส ซีซาร์ ประมุขแห่งกรุงโรมที่เข้ายึดครองอียิปต์ เมื่อ จูเลียส ซีซาร์ ถูกลอบสังหาร พระนางคลีโอพัตรา ก็ได้ มาร์ค แอนโทนี แม่ทัพของซีซาร์เป็นพระสวามีใหม่ต่อมา มาร์ก แอนโทนี ได้พ่ายแพ้ต่อ ออกุสตุส อ็อกตาเวียน เลยฆ่าตัวตาย ทำให้ พระนางคลีโอพัตรา ต้องชิงปลงพระชนม์หนีด้วยการให้งูเห่ากัดตาย อียิปต์จึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงโรม และกลายเป็น อาณาจักรไบเซนไทล์ ในเวลาต่อมา.“ลม เปลี่ยนทิศ”