เทศกาลแห่ง “ความรัก” มาถึง... เราจะได้พบเห็นถึงการแสดงออกซึ่งความรักของคนแต่ละคนต่อกันทุกเพศและทุกวัย ความรักจึงเป็นความสุขที่สดใส...เราได้พบเห็นคุณตากับคุณยาย ซึ่งมีอายุมากเกือบร้อยปีก็ยังมีความรักและความสุขใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ตรงกับสำนวนโบราณว่า “ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร” จนตราบเท่าทุกวันนี้ ถ้าทุกชีวิตมีความรักแล้วจะให้มันจีรังยั่งยืนได้ตลอดไป จึงเป็นคำถามที่ควรจะมีคำตอบที่ชัดเจนว่าอะไรเป็นสายใยแห่งความรักนั้นๆ จนกลายเป็น “รักที่อมตะ” ตลอดไป“ความรัก” ของคนเราย่อมมีความแตกต่างกันตามวัย ถ้าเป็นความรักของเด็กๆที่ไร้เดียงสา ก็เป็นความ “รักที่บริสุทธิ์” ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมใดๆทั้งสิ้น เมื่อเด็กได้พบกันหรือได้เล่นด้วยกันแล้วเกิดความชอบพอก็แสดงออกถึง “ความรัก” ได้ทันทีโดยปราศจากราคะตัณหาใดๆทั้งสิ้น...เป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้าไว้เลย จึงกลายเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ผู้ใดพบเห็นแล้วก็มีความสุขไปด้วย ถ้าหากเป็นความรักของวัยหนุ่มวัยสาวย่อมมีเรื่องของการคิดที่จะมีคนที่เข้าใจ รวมไปถึงคาดว่าคนที่อาจจะเป็น “คู่ชีวิต” ต่อไปก็ได้เพราะเป็นความรักที่เคลือบแฝงไปด้วยความต้องการทางเพศ หรือเรียกว่า “ราคะ” นั่นเอง ความรักชนิดนี้พร้อมที่จะเป็นความรักที่สร้างสรรค์ให้โลกน่าอยู่น่าอภิรมย์เพราะพร้อมที่จะก่อให้เกิดสมาชิกใหม่ขึ้นมาในสังคมได้ทันที พร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันตลอดไปในวันข้างหน้า ความรักที่บริสุทธิ์คือความรักของ “คุณตาและคุณยาย” ที่มีอายุวัยมากขึ้นมาแล้ว ต่างได้ใช้ชีวิตร่วมกันเรียกว่า “ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบตลอดชีวิต”แล้วกลายเป็นความรักที่ “อมตะ” ทำให้ผู้คนในสังคมได้ยินดีและชื่นชมกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ ทั้งสองคนได้อยู่ร่วมกันได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุขผ่านอุปสรรคของการดำเนินชีวิตร่วมกันมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ทั้งหมดได้สะท้อนให้เห็นถึง “ความรัก” ของผู้คนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะทุกวันนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก “ความรักที่ไม่สมหวัง” บ้าง “ความรักที่ไม่ลงตัว” บ้าง “ความรักที่ไม่จริงใจ” บ้าง ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม....นับรวมไปถึงเกิดการหย่าร้างเกิดการก่ออาชญากรรมขึ้นมาเป็นจำนวนมากกลายเป็น “ความรักที่มืดบอด” กลายเป็นความรักที่แทนที่จะก่อให้เกิดความสุขแต่กลับกลายเป็นความรักที่ก่อให้เกิดแต่ความทุกข์ไปในที่สุด เราจึงควรจะมีอะไรมาเป็นองค์ประกอบที่จะก่อให้เกิดความรักแล้ว...ดำเนินไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป?พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า ปัญหาทางสังคมเราที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากผู้คนในสังคมไม่มีศีลและไม่มีธรรมะครองใจ ผู้คนส่วนหนึ่งไม่มีศีลห้าเป็นของตนเอง ไม่มีการรักษาศีลโดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยที่กำลังทำงาน...ต่างได้ปล่อยให้เป็นเรื่องการ “รักษาศีล” นั้นเป็นหน้าที่ของ “คุณตา” และ “คุณยาย” รวมถึงผู้สูงอายุกันไป วัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่กำลังคึกคะนองเป็นวัยที่ชอบเลียนแบบผู้อื่น เป็นวัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็นอยากสัมผัส ไม่ว่าความเป็นลูกผู้ชายบ้าง ความเป็นลูกผู้หญิงบ้าง บุหรี่ ของมึนเมาทุกประเภท แสง สี เสียง พระมหาสมัย จินฺตโฆสโกอีกทั้งบางสถานการณ์ “ภัย”...ที่อาจจะเกิดขึ้นบางกรณีก็ต้องกล้าต่อสู้หรือกล้าเผชิญ มิเช่นนั้นก็จะถือว่า “ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” หรือแม้แต่...บุคคลผู้เป็นวัยที่กำลังทำงานรับผิดชอบตนเองและครอบครัวรวมถึงรับผิดชอบสังคม เมื่อเลิกงานแล้วก็จะต้องมีการพบปะสังสรรค์ จนเกิดการประพฤติผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง“บ่อยครั้งก็กลายเป็นปัญหาเกิดขึ้นภายในครอบครัวเพราะเกิดการละเมิดศีลห้า เกิดการเบียดเบียนต่อสู้ ลักขโมย ผิดลูก...ผิดเมีย พูดเท็จ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ...ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดการใส่ร้าย เกิดการทะเลาะวิวาทซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็จบลงที่ก่ออาชญากรรม กลายเป็นผู้ร้ายในสังคมไปในที่สุด”เมื่อกระทำผิดไปแล้วก็มักอ้างว่า “ไม่รู้ตัว” บ้าง “ไม่ได้สติ” บ้าง แต่ก็ได้กระทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองไปแล้ว ตรงกันข้ามกับคุณตาและคุณยายที่มีสติ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรสมควรและอะไรไม่สมควร เพราะใช้ชีวิตที่รู้จักศีลและรู้จักธรรมมาโดยตลอด ใช้ชีวิตตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ฯลฯจึงได้กลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่ร่วมกันจนกลายเป็น “อมตะ” ตราบนานเท่านานพระมหาสมัย ย้ำว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ความรักเป็นความสุข ความรักเป็นที่สุดยอดแห่งความปรารถนาของมนุษย์ โดยเฉพาะความรักของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ถ้าความรักมีมากและเกิดขึ้นมากับผู้คนในสังคมหลายชีวิตก็จะกลายเป็น “ความรัก” ที่ก่อให้เกิดความรักและความสามัคคีขึ้นมาได้ นี่เองเป็นความรักที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “สุขา สังฆัสสะ สามัคคี แปลว่า ความพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะย่อมนำมาซึ่งความสุข” นี่คืออานิสงส์แห่งความรักที่ก่อให้เกิดแต่ประโยชน์และความสุขแก่มนุษย์ความรักที่เกิดขึ้นตามวัยนับตั้งแต่ความรักของเด็กๆในวัยของความเป็นเด็ก ความรักของวัยรุ่นที่กำลังจะสร้างชีวิตหรือที่กำลังจะเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตนเอง ความรักของผู้คนวัยทำงานก่อร่างสร้างตัวและความรักของวัยผู้สูงอายุหรือวัยของคุณตาคุณยาย...ในโอกาสที่ผู้คนในสังคมกำลังจะแสดงออกถึง “ความรัก” ที่มีต่อกันนี้ จึงขอให้ทุกชีวิตคิดถึงซึ่งกันและกัน มองเห็นคุณค่าชีวิตของคนอื่น อย่าได้รังแกเบียดเบียนกัน ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ขอให้ส่งความสุข ความปรารถนาดี ความเมตตาปรานีต่อกันและกันเป็นที่ตั้งเมื่อรักกันแล้วก็ขออย่าได้ประพฤติผิดหรือร่วมกันประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง ทำให้ตัวเราเองกลายเป็น “คนมีเสน่ห์” กับทุกๆคนรอบตัว ในที่สุดก็จะกลายเป็น “ความรัก” ที่จีรังในชีวิต...ในสังคม อานิสงส์แห่งความรักนี้จึงเกิดขึ้นได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติของ “ตัวเรา” นี่เอง “ความรักที่สร้างโลกให้สันติสุข” ด้วยกันคือเป้าหมายแห่ง “ความรัก”เทศกาลแห่งความรักนี้ขอให้ทุกคนได้ลองมาทบทวนตนเอง ขอให้รักกันอันประกอบไปด้วยศีลของผู้ครองเรือนหรือศีลของฆราวาส เรียกว่า “ศีลห้า” รักกันขอให้เกิดกับนักบวชหรือบรรพชิต รักกันก็ต้องรักษาศีลของผู้เป็นเนกขัมมะ อย่าให้กลายเป็น “อลัชชี” ในพระพุทธศาสนาจนสร้างความเสื่อมศรัทธาให้กับชาวพุทธและชาวบ้านกันอีกต่อไป ศีลเท่านั้นจะช่วยยับยั้งมิให้ผู้คนในสังคมเราเสื่อมโทรมลงไป ไม่ว่าชาวบ้านหรือชาววัด รักกันไว้เถิด เราเกิดบนแผ่นดินไทยรักกันให้จีรังยั่งยืนนั้นจะต้อง “รักกันอย่างมีศาสนาในดวงใจ” ไม่ละเมิดหลักธรรมคำสอนของศาสดาที่ตนเคารพและนับถือ ศาสนาก็จะมีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อทุกชีวิตตลอดไป...รักกันให้เกิดสุข รักกันให้สดใส รักกันให้มีชีวิตชีวา รักกันให้มั่นคง รักกันให้สุขนิรันดร์ จะได้กลายเป็น “ความรักที่ยิ่งใหญ่” ตลอดไป.