แม้การเมืองจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆออกมารณรงค์หาเสียงกันอย่างคึกคัก และมีพรรคใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกหลายพรรค แต่ความหวังที่จะเห็นการเมืองนำพาประเทศออกจากความมืดมิดสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นเพียงความหวังที่ไม่ชัดเจน การเมืองไทยก็ยังเป็นการเมืองไทยเริ่มต้นที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล ต้องถือว่ายังอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำกันแน่ ยังไม่รู้ว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งจะมีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะให้ใครเป็นหมายเลข 1 ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ส.ส.บางคนเสนอสูตร “หมดตู่–ชูป้อม” หรือ “หมดลุงตู่ สู่ลุงป้อม”ให้ลุงทั้งสองผลัดเปลี่ยนกันเป็นนายกรัฐมนตรี สองปีแรกให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากนั้นให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งอายุมากแล้วและต้องใช้ “ใจบันดาลแรง” แม้ พปชร.มีคะแนนนิยมอยู่ช่วงขาลง แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะมี 250 ส.ว.เป็นพลังปาฏิหาริย์ สามารถสืบทอดอำนาจ 3ป. ต่อไปได้อีกหลายปีพรรคการเมืองใหม่ๆที่เกิดขึ้นหลายพรรค โดยนักการเมืองรุ่นเก่า แต่เสนอแนวทางการเมืองใหม่ ที่ไม่แยกเป็น 2 ขั้ว คือขั้ว พปชร.หรือ 3ป. กับครอบครัวชินวัตร เสนอการเมืองสายกลางให้เลือก มีพรรคไทยสร้างไทย พรรคสร้างอนาคตไทย และพรรคชาติพัฒนากล้า แต่พรรคใหม่ๆ ก็จะเป็นขั้วที่ 3 อยู่ดีปัญหาสำคัญก็คือ พรรคใหม่ๆ เหล่านี้ต่างประกาศจะเสนอคนของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ทราบว่าแต่ละพรรคตั้งเป้าหมาย จะได้ ส.ส.พรรคละกี่ที่นั่ง นักวิเคราะห์การเมืองบางคนมองว่า ถ้าได้ ส.ส.ถึง 25 ที่นั่ง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็มีสิทธิเสนอคนของพรรคเป็นผู้ชิงนายกรัฐมนตรีแต่ถ้าได้ ส.ส.ไม่ถึง 100 คน โอกาสที่จะชนะการเลือกนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นไป ได้ยาก หรือไม่ได้เลย ในขณะที่คู่แข่งสำคัญคือ พปชร.มี ส.ว.อยู่ในกำมือแล้วถึง 250 คน และพรรคเพื่อไทยก็ประกาศจะชนะแบบแลนด์สไลด์ กว่า 250 ที่นั่ง ในที่สุดพรรคใหม่ๆที่ประกาศตัวเป็นขั้วสายกลางก็ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งแต่ในยุคที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า “พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก” อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น การเมืองไทยยังต้องเดินตามเส้นทาง “การสืบทอดอำนาจ” ของคณะรัฐประหาร แต่นักประชาธิปไตยยังเชื่อว่าประชาชนมีอำนาจที่จะเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย โปรดติดตาม!