เอ่ยคำ “สามัญลักษณะ” ชาวพุทธพวกที่ไกลวัดหลายคนคงไม่คุ้น คำนี้แปลว่า ลักษณะที่มีเสมอกันในสังขารทั้งปวง แต่เมื่อเรียกว่า “ไตรลักษณ์” ที่แปลว่าลักษณะประจำ 3 ประการของสังขาร ที่นิยมเรียกสั้นๆว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะคุ้นเคยกว่าหลวงพ่อ พระธรรมกิตติวงศ์ (หลวงพ่อทองดี สุรเตโช เลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นพรหม และเปลี่ยนอีกครั้งจนผมจำไม่ได้แล้วครับ) อธิบายไว้ใน “คำวัด” ว่าอนิจจัง หมายถึง ภาวะที่สังขารทั้งปวงหาความแน่นอนตายตัวไม่ได้ ไม่อยู่คงที่ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช่นเป็นเด็ก แล้วก็เปลี่ยนเป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนชรา เป็นคนตายทุกข์ หรือทุกขัง หมายถึงความไม่สบายกาย ไม่สบายใจทุกข์ ในอริยสัจ 4 แยกเป็น 2 คือสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำ ทุกข์ที่มีอยู่ด้วยกันทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตายปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์ที่จรมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความเศร้าโศก ความพร่ำเพ้อรำพัน ความไม่สบาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ความพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ ความผิดหวัง ไม่ได้ตามที่ต้องการทุกข์อีกความหมายหนึ่ง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก ภาวะที่ดำรงคงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้อนัตตา แปลว่าไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่นิยมแปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตนอนัตตา เป็นสามัญลักษณะ คือเกิดมีเสมอกันแก่สังขารทุกอย่างอนัตตา ที่ได้ชื่อดังนี้ เพราะมีลักษณะดังนี้1.เป็นสภาพที่ว่างเปล่า คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 4 (คือดิน น้ำ ลม ไฟ) เมื่อแยกธาตุออกสภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี2.หาเจ้าของมิได้ คือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้3.ไม่อยู่ในอำนาจ คือ ไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่นบังคับไม่ให้แก่ไม่ได้4.แย้งต่ออัตตา คือ ตรงข้ามกับอัตตาเหล่านี้ คือ ความรู้เรื่องสามัญลักษณะ...หรือเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เราพูดกันคล่องปาก แต่ถ้าหากเมื่อรู้แล้ว ยังไม่เชื่อมโยงใจให้ผ่อนคลายความสับสน กระวนกระวายผมมักเลือกภาวนา...พระพุทธวจนะ...ที่พยายามท่องจำ จาก “พุทธธรรม” ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุต ปยุตโต) ดังต่อไปนี้ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา ภิกษุพึงใช้สัมมาปัญญา พิจารณาตามจริงว่าเราไม่ได้เป็นนั่น เป็นนี่ นั่นมิใช่ตัวตนของเรา นั่นไม่ใช่ของของเราจะว่าเป็นอานิสงส์ หรือจะว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็ได้ เมื่อท่อง ไปสักครั้งสองครั้ง ความทุกข์ที่เกิดจากความยึดมั่นในตัวตน ในตำแหน่งแห่งหนที่เป็น ในสิ่งของที่เคยเผลอว่ารัก ฯลฯ ก็มักผ่อนคลายใจก็เบา ก็สบายโชคดีที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ ก็น่าจะเชิดหน้า ยืดอกให้ผึ่งเข้าไว้...ทุกข์ไปทำไมกับความเปลี่ยนแปลง ที่เป็นธรรมดาสามัญโบราณท่านว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ...อย่างน้อยนะ...เกิดมาทั้งทีก็ยังมีคนรักอยู่บ้าง ใช่ว่าจะชังไปถ้วนทั่วทุกตัวคนเสียเมื่อไร.กิเลน ประลองเชิง