สังคมไทยจับจ้องบทสรุป “คดี ส.ต.ท.หญิง” ที่รับอภิสิทธิ์ชนเข้ารับข้าราชการเป็นกรณีพิเศษแล้วใช้เส้นสายฝากบุคคลอื่นเข้าเป็นทหาร เพื่อโอนมารับใช้ที่บ้านเรียกหักเงินเดือนค่าฝาก 5 แสนบาทที่ร้ายกว่านั้นคือ“ทหารหญิงทำไม่ถูกใจ” มักถูกทำร้ายสารพัดวิธีทั้งใช้ไม้หน้าสามทุบตี หรือใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อต “ก่อนบังคับลาออกจากทหาร” จนทนไม่ไหวขอความช่วยเหลือทางบ้านเข้าแจ้งความดำเนินคดีทันทีที่ตรวจสอบเส้นทางการเข้ารับข้าราชการ “ส.ต.ท.หญิง” ถึงกับผงะเมื่อมีชื่อช่วยงาน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า “แต่ตัวไม่อยู่ได้รับเบี้ยเลี้ยง เพิ่มวันทวีคูณ” ยิ่งกว่านั้นยังมีตำแหน่งในวุฒิสภารับเงินประจำและสิทธิประโยชน์อื่น โดยพาดพิงถึง “ส.ว.นายตำรวจ และนายทหาร” อยู่เบื้องหลัง ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบฝากเข้าทำงานนี้ สะท้อนให้เห็นระบบเส้นสาย และการคอร์รัปชันยังคงวนเวียนในระบบข้าราชการโดยคนกลุ่มหนึ่งยังใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอด ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) บอกว่าระบบเส้นสายฝากบุคคลเข้าเป็นตำรวจ ทหาร หรือลูกจ้างหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ถูกหยิบยกเป็นประเด็นพูดกันมาตลอด มีทั้งเป็นข่าว และไม่เป็นข่าวอีกมากมาย แล้วชีวิตจริงก็สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้โดยทั่วไปดังนั้น กรณีเหตุการณ์ “ส.ต.ท.หญิง” เป็นเพียงการตอกย้ำให้ “คนไทย” เชื่อได้โดยไม่ต้องมีข้อสงสัยว่า “ปัจจุบันระบบเส้นสายยังแฝงในหน่วยงานราชการไม่ได้จางหายไปไหน” แถมผู้มีอำนาจยังกระทำได้โดยง่ายเพราะด้วย “สังคมไทยมีอภิสิทธิ์ชนโอบอุ้มระบบอุปถัมภ์” เป็นเครื่องมือสร้างเครือข่าย ไต่เต้าสู่อำนาจของตัวเองสังเกตเห็นได้จาก“สังคมการเมือง หรือผู้มีตำแหน่งใหญ่โตบางคนที่ดิ้นรนสู่อำนาจ” มักสร้างเครือข่ายด้วยการนำคนของตัวเองเข้าไป “นั่งตำแหน่ง สำคัญในองค์กรต่างๆ” เพื่อใช้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว และเกื้อหนุนพวกพ้อง จนบั่นทอนประสิทธิภาพของระบบราชการไทยกันอยู่ทุกวันนี้ แล้วหาก “สร้างเครือข่ายได้มากเท่าใด” ย่อมนำมาซึ่งการตอบแทนบุญคุณต่อกัน “ถ้าไม่ใช่ด้วยเงินก็เกี่ยวกับผลประโยชน์อื่น” สิ่งที่ถูกกล่าวอ้างได้ยินอยู่เรื่อยๆคือ “หน่วยงานราชการบางสายงาน” มักมีเด็กเส้นเข้ามาทำงานถูกใช้ให้ “ทำการคดโกงหาเงินคอร์รัปชัน” เพื่อส่งส่วยเป็นการตอบแทนตรงนี้ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อสังคมก่อให้บ้านเมืองถูกเอาเปรียบ ถ้าไม่ทำอะไรมีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆเช่นเดียวกับกรณี “ส.ต.ท.หญิง” สิ่งที่เจอคือ “ผู้มีอำนาจ” ใช้เส้นสาย ฝากเข้าเป็นตำรวจ หรือฝากคนอื่นเป็นทหาร แถมยังมีอำนาจดึง“ ทหาร ยศ ส.ท.” ข้ามหน่วยงานมาเป็นคนรับใช้ที่บ้านได้โดยง่าย ทั้งที่มีตำแหน่งเป็นเพียงตำรวจชั้นประทวนไม่มีสิทธิด้วยซ้ำ แต่ ส.ต.ท.หญิงคนนี้กลับสามารถทำได้ถือว่าเป็นบุคคลไม่ธรรมดาทีเดียวทั้งยังมีชื่อช่วยราชการใน 3 จชต. แต่ตัวไม่ไปกลับได้รับสิทธิประโยชน์เบี้ยเลี้ยงเพิ่มวันทวีคูณ และมีตำแหน่งหน้าที่ในวุฒิสภารับเงินประจำตำแหน่ง สิทธิประโยชน์อื่นที่นับเป็นอภิสิทธิ์ชนเต็มขั้นเข้าข่าย “คอร์รัปชันทำผิดกฎหมาย” ทั้งคนฝาก คนรับฝาก และหัวหน้าหน่วยงานปกครองดูแล หรือคนใช้งานทหารตำรวจทั้งสองด้วยหรือไม่เรื่องนี้ผู้คนอาจคิดว่า “เด็กเส้นเข้าไปรับราชการไม่เกี่ยวกับตัวเอง” แต่อย่าลืมเงินเดือนที่ถูกจ่ายนั่นคือ “ภาษีประชาชน” แล้วยังตัดโอกาสลูกชาวบ้านที่มีความรู้ความสามารถอยากมาทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง “กลับถูกเด็กเส้นเบียดบังตำแหน่ง” จนภาครัฐเสียประโยชน์เสียโอกาสในการพัฒนาสุดท้ายประชาชนได้รับการบริการไม่ดีเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็น “ความหละหลวม” ในการคัดเลือกคนมารับข้าราชการ หรือการโยกย้ายจัดสรรตำแหน่ง ตอกย้ำ “ความจำเป็นต้องปฏิรูปตำรวจทุกด้าน รวมถึงการปฏิรูประบบหน่วยงานราชการไทย” เพื่อมิให้ภาครัฐเสียงบประมาณจ้างคนไม่มีความสามารถ หรือคนไม่ทำงานมาแฝง กินเงินตำแหน่งมากมายอยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะ “การรับคนเข้ามาเป็นตำรวจ ทหาร หรือการบรรจุไปปฏิบัติราชการชายแดนใต้” สะท้อนไร้ขั้นตอนการตรวจสอบคัดกรองเพราะต้องขึ้นอยู่กับ “นายเป็นสำคัญ” ดังนั้น การคอร์รัปชันในการบริหารราชการทำให้หลวงสูญเงินมหาศาลไปกับ “คนไม่ทำงานแต่มีชื่อ” จนภารกิจแก้ปัญหาชายแดนใต้ไม่จบสิ้นเสียทีทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานไม่ใช่เป็นครั้งแรก “เจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจทำงานใน 3 จชต.ต่างเสียกำลังใจ” จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำได้แต่นั่งมองคนอื่นเอารัด เอาเปรียบแสวงหาผลประโยชน์ ส่งผลต่อการทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพหนำซ้ำหลายสิบปีมานี้ “ผู้มีอำนาจทุจริตเบี้ยเลี้ยงเพิ่มวันทวีคูณใน 3 จชต.” ที่เกิดขึ้นมาตลอดกลับไม่เคยมีกระบวนการสอบสวนอย่างเป็นรูปธรรรม และไม่เคยเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบข้อมูลจริง แม้แต่ปัจจุบัน “กรณี ส.ต.ท.หญิงมีชื่อช่วยราชการ 3 จชต.” สังคมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำชี้แจงใดๆด้วยซ้ำส่วนหนึ่งอาจมาจาก “วัฒธรรมความไม่รับผิดชอบของผู้ใหญ่ในองค์กร” แทนที่จะแก้ปัญหากลับเฉไฉให้ข้อมูลแก้ต่างเล็กน้อย “เพื่อซื้อเวลาตบตาประชาชน” ในการแก้ตัวแบบไร้เหตุผลเป็นเรื่องขบขันเอือมระอาของประชาชนหรือไม่ เพราะเรื่องลักษณะแบบนี้เกิดมาบ่อยเป็นมานานแล้วไม่มีใครทำอะไรมาตลอดทำให้ “องค์กรถูกกล่าวหานั้นมักปล่อยให้ผ่านไปเดี๋ยวประชาชนก็ลืม” โดยไม่รีบร้อนไม่รับผิดชอบอะไร “เพียงคิดว่าไม่นานเดี๋ยวก็ย้ายตำแหน่ง หรือปลดเกษียณแล้ว” หากเป็นแบบนี้บ้านเมืองจะไม่มีความเจริญคงได้แค่ย่ำอยู่กับที่ แถมยังอาจจะถอยลงย่ำแย่ลงด้วยซ้ำฉะนั้น ถ้าสังคมไทยปล่อยให้ระบบไม่โปร่งใสแบบนี้ “ปัญหาจะไม่ถูกแก้ไข” ทำให้สถานการณ์อึมครึม “คนไทย” จะยังคงคลางแคลงข้อสงสัย ต่อไปในวันข้างหน้าอีกเช่นเดิม ต่อมาประเด็น “การตรวจสอบตั๋วเด็กฝาก” ตามข่าวผู้มีอำนาจทางการเมือง และอดีตนายตำรวจใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น “ถ้าคิดจะทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ” ควรต้องตั้งองค์กรอิสระเข้ามาตรวจสอบให้ชัดเจนอย่างเช่น “ป.ป.ช. หรือรัฐบาล” ต้องลงมาเป็นเจ้าภาพตรวจสอบเพราะคนถูกกล่าวหาเป็นผู้มีอำนาจเกี่ยวเนื่องกับองค์กรขนาดใหญ่เชื่อมโยงหลายหน่วยงาน แล้ว “คณะกรรมการตรวจสอบ” ควรคัดเลือกผู้ที่ประชาชนไว้ใจด้วย เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็สรุปรายงานเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนให้กระจ่างชัดแล้วถัดมา “รายงานผลสรุปการตรวจสอบนั้น” ต้องนำมาเป็นตัวตั้งวางกติการะบบงานทหาร ตำรวจ รัฐสภา และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องใหม่ “อย่าด่วนสรุปโดยไม่มีคณะกรรมการจากองค์กรอิสระเข้ามาตรวจสอบ” เพราะถ้าปล่อยผ่านไม่ได้รับการแก้ไขแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นชะตากรรมของคนไทยต้องจำใจยอมรับสิ่งสำคัญ “ผู้มีอำนาจชอบฉ้อฉลยิ่งได้ใจ” กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบขยายเครือข่าย “เกิดปัญหาหมักหมมจนสังคมมืดมิด” สุดท้ายคนไทยต้องตกอยู่ใต้สภาวะกฎแห่งความเงียบ “แม้รู้ว่ามีการคดโกงก็ไม่กล้าเปิดปาก” เพราะกลัวอำนาจมืดที่ไม่อาจจับต้องตรวจสอบได้“อย่าปล่อยให้พฤติกรรมการใช้อำนาจฝากเด็กเข้ารับราชการเป็นความเคยชินจนทำให้สังคมมองว่า “ระบบราชการก็เป็นแบบนี้แหละ” เพราะยิ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจบางคนสามารถคดโกงทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น เลวร้ายกว่าเดิม จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคม และประเทศชาติอย่างรุนแรงตามมา” ดร.มานะว่า สุดท้ายนี้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนละเมิดจริยธรรมนักการเมือง และข้าราชการ ยังพิสูจน์เอาผิดได้ยาก “ส่วนคดีทำร้ายร่างกายทรมาน หรือการค้ามนุษย์” ตอนนี้อยู่ในสายตาประชาชนแล้วคงปล่อยให้ตำรวจดำเนินคดีต่อไป แต่ว่าพฤติกรรมเบื้องหลังของคนใหญ่คนโตที่เอาเปรียบสังคมประเทศชาติยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเพราะยิ่งขุดยิ่งพบ “ความบิดเบี้ยว” ที่รอคอยการปฏิรูประบบตำรวจ ทหาร การบริหารราชการ กระบวนการยุติธรรม และนิติบัญญัติ แล้วอย่ายอมให้ใครสรุปเอาง่ายๆว่า “นี่แหละราชการไทย” เพราะขืนปล่อยอย่างนี้ไปจะกลายเป็นชะตากรรมอันหดหู่ที่ประชาชนไม่ได้สร้างในอนาคตก็ได้นี่คือความห่วงใยฝากไว้...ถ้าไม่กำจัดระบบอำนาจนิยม หรือไม่ทำลาย ระบบอุปถัมภ์ “สังคมไทยจะไร้ซึ่งความยุติธรรม” เพราะเด็กฝากกลุ่มนี้จะเติบโตขึ้นในองค์กรสวมเครื่องแบบแต่ “ไม่รักในวิชาชีพ” คิดเพียงจะใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ ทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีของราชการไทย.