ผมได้ยินข่าวมาหลายวันแล้วว่าเงินบาทไทยเราอ่อนค่าลงมาก ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯก็แข็งขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจจริงจังนักว่าเงินบาทอ่อนไปเท่าไร และเงินดอลลาร์แข็งขึ้นมาแค่ไหน?จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนไปเขียนข่าวกีฬาเกี่ยวกับรายได้ของนักกอล์ฟไทยในคอลัมน์ “จ่าแฉ่ง” ของหน้ากีฬาไทยรัฐ...จะต้องแปลงรายได้ของน้องๆนักกอล์ฟที่เป็นเงินเหรียญมาเป็นเงินบาท จึงต้องไปเปิดดูอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่แปลข่าวเห็นแล้วก็สะดุ้ง เพราะผมยังนึกว่า “ดอลลาร์” ละ 33 บาทอยู่เลย ใช้อัตรา 33 บาท เสียจนเคยชิน...ที่ไหนได้กลายเป็น 36.50 บาทไปซะแล้ว แถมยังมีการคาดกันว่าอาจไหลไปถึงดอลลาร์ละ 40 บาทด้วยซํ้าทางหนึ่งแม้จะดีใจ เพราะการที่เงินบาทอ่อนค่าลงไปมากเช่นนี้ มีผลให้รายได้ของนักกอล์ฟไทย หรือของนักกีฬาอื่นๆที่เป็นดอลลาร์ แล้วแลกกลับมาเป็นเงินบาทจะได้เพิ่มขึ้นอีกแยะรวมถึงรายได้จากการขายสินค้าส่งออกอื่นๆด้วยครับ เช่น ทุเรียน เงาะ ข้าว อะไหล่รถยนต์ ไปจนถึงส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ฯลฯ ก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกันเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ส่งสินค้าส่งออกบ้านเราเป็นอย่างยิ่งแต่อีกทางหนึ่งผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะการที่ค่าเงินบาทของเราอ่อนค่อนข้างเร็วเช่นนี้...รวมทั้งอ่อนมากพอสมควรเช่นนี้ ย่อมจะมีผลเสียอย่างอื่นตามมาด้วยโดยเฉพาะสินค้านำเข้าต่างๆที่เรายังต้องสั่งซื้อมาจากต่างแดนก็จะกลายเป็นว่าแพงขึ้น เพราะเราต้องเอาเงินบาทจำนวนมากขึ้นไปแลกเป็นเงินดอลลาร์เพื่อจะจ่ายให้แก่เขาอย่างเช่น “น้ำมันดิบ” ปกติก็แพงขึ้นอยู่แล้ว ครั้นเมื่อเราต้องเอาเงินบาทไปแลกดอลลาร์เพื่อชำระเขา ก็กลายเป็นแพงหนักข้อขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์ เพราะเราต้องใช้เงินบาทถึง 36 บาทเศษๆ แทนที่จะเป็น 33 บาท เพื่อไปแลกเงินดอลนอกจากน้ำมันแล้ว เรายังต้องซื้อข้าวของจากต่างประเทศอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะนักลงทุนต้องซื้อวัตถุดิบเข้ามาด้วย หรือในช่วง แรกๆของการลงทุนต้องซื้อเครื่องจักรมาตั้งโรงงานด้วยดังนั้น ในตำราการค้าระหว่างประเทศ แม้จะบอกเคล็ดไว้ว่า การทำให้ค่าเงินอ่อนจะทำให้เราได้เปรียบ เพราะจะทำให้ของเราถูกลงในสายตาต่างประเทศ ทำให้คนอยากซื้อหรืออยากมาเที่ยวมากขึ้นแต่ทุกตำราก็จะกำชับเสมอๆว่า ต้องดูด้าน “นำเข้า” ควบคู่ไปด้วย เพราะมันจะทำให้เราจ่ายแพงขึ้น...ดังนั้น การใช้นโยบายเงินอ่อนจะต้องไม่ปล่อยให้อ่อนมากไป จนเกิดผลกระทบด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการที่สินค้านำเข้าที่จำเป็นบางอย่างจะต้องแพงขึ้น จนทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าส่งออกแพงขึ้น ซึ่งจะเป็นผลเสียในภาพรวมสำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินโลกในปัจจุบัน ก็อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า...สาเหตุหลักที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งโป๊ก เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆนั้น เป็นผลโดยตรงมาจากการใช้นโยบายทั้งในด้านขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการลดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯนั่นเองเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อของประเทศเขาที่กระฉูดขึ้นไปถึง 9.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 40 ปีเราคงไม่มีเนื้อที่พอจะอธิบายได้ละเอียดมากนัก เอาเป็นสรุปว่า การดำเนินการต่างๆของธนาคารกลางสหรัฐฯล้วนมีผลให้เงินดอลลาร์แข็งโป๊กเหมือนโด๊ปด้วย ไวอากร้า เข้าไปชุดใหญ่แทบทั้งสิ้นส่ิงที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งของระบบเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ก็คือ มักมีพวก “เหลือบ” หรือ “ไร” จำนวนไม่น้อยที่แอบแฝงเข้าไปในตลาดที่เป็นเครื่องมือและกลไกด้านเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้กลไกลเหล่านั้นมิได้เคลื่อนไหวอย่างเสรีตามหลักอุปสงค์อุปทานที่แท้จริงมีการสร้างอุปสงค์อุปทานเทียมขึ้นเนืองๆในรูปของการปั่น, การโจมตี, การสร้างข่าวหลอกลวง ฯลฯ สารพัดด้วยเหตุนี้ ผมจึงค่อนข้างห่วงใยที่ค่าเงินบาทของเราอ่อนลงเรื่อยๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีฝูงเหลือบฝูงไรที่ไหนมารังควานหรือไม่ผมอาจจะเป็นกระต่ายตื่นตูมเห็นเงินบาทอ่อนไปที่ 36 บาทกว่า ก็หวาดกลัวซะแล้ว...ก็ขออภัยท่านผู้รู้ด้วยเพราะบังเอิญเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มาทำหนังสือพิมพ์ ได้น้องๆฝ่ายข่าวอาชญากรรมสอนวิชาความรู้ให้ ทำให้รู้เล่ห์เหลี่ยมและอุปนิสัยมนุษย์เยอะกว่าสมัยเป็นนักวิชาการฝากดูแล “ค่าเงินบาท” ด้วยนะครับ ธนาคารแห่งประเทศไทย... อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง...โบราณท่านสอนเราไว้เช่นนี้ครับ.“ซูม”