ไม่น่าแปลกใจ ผลการสำรวจครั้งสุดท้ายของนิด้าโพลในหัวข้อ “สนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคะแนนนิยมร่วงลงมาเป็นอันดับ 3 ถูกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แซงขึ้นมาเป็นครั้งแรก คะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ หล่นหายไปกว่าเท่าตัวใน 2 ปีผลการสำรวจยังพบว่า ไม่มีใครได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 ที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับพรรคการเมือง ก็ไม่มีพรรคใดได้คะแนนนิยมเป็นอันดับที่ 1 พรรคที่ได้คะแนนมากที่สุดคือพรรคเพื่อไทย ตามด้วยพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย แต่ไม่มีพรรคใดได้คะแนนถึง 30%นิด้าโพลครั้งนี้ นอกจากจะสะท้อนว่าไม่มีผู้นำและไม่มีพรรคใดได้คะแนนถึง 30% ซึ่งถือว่าสอบตกยกชั้นแล้ว ยังสะท้อนถึงคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ในช่วงขาลงอย่างยั่งยืนติดต่อกันมาหลายปี ทั้งที่เป็นผู้นำการเมืองที่มีอำนาจ และบารมีมากที่สุด คุมอำนาจการปกครองประเทศ และงบใช้จ่ายปีละกว่า 3 ล้านล้านแต่คะแนนนิยมกลับทรุดลงทุกครั้งที่มีการสำรวจทำไมและทำไม? อาจหาคำตอบส่วนหนึ่งได้จากการเสวนาของพรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนถูกแย่งอำนาจอธิปไตยไปปู้ยี่ปู้ยำ นายก รัฐมนตรีสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้นำฝ่ายค้านระบุว่า วันนี้หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นเกือบถึง 10 ล้านล้านบาท ส่วนหนี้ประชาชนหรือหนี้ครัวเรือน มีตัวเลขระบุว่ารวม 14 ล้านล้านบาท ราว 90% ของจีดีพี แม้แต่นักวิชาการ ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ ยังวิจารณ์ว่าเป็น “ทศ วรรษแห่งความสูญเปล่า” ถดถอยทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองรัฐบาลสัญญาว่าจะปฏิรูปประเทศ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่รัฐบาลกลับขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำประเทศคืนสู่ประชาธิปไตย ไม่ยอมแก้ไขบทบัญญัติที่จะคืนอำนาจให้ประชาชน เช่น อำนาจการเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะกระทบถึงการสืบทอดอำนาจ 8 ปี ก็ยาวนานเกินไปแล้ว สำหรับรัฐบาลลักษณะนี้แต่นายกรัฐมนตรียังแสดงความมุ่งมั่นที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป แม้จะครบกำหนดที่รัฐธรรมนูญขีดเส้นไว้ ไม่เกินวันที่ 24 สิงหาคม 2565 จึงต้องมีการตีความรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญ ถ้าตีความอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ถ้าตีความแบบศรีธนญชัย เพื่อให้อภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมาย อาจกลายเป็นวิกฤติรัฐธรรมนูญ.