ฤดูหนาวปีนี้ “มวลอากาศเย็น” มีกำลังแรง แผ่ลงมาปกคลุม “ประเทศไทย” จนอุณหภูมิลดลงต่อเนื่อง “หลายพื้นที่แถบภาคเหนือ และภาคอีสาน” ต้องเจอสภาพอากาศหนาวเย็นยะเยือก “ชาวบ้าน” ต่างพากันหาซื้อเสื้อผ้ามือสองคลายหนาวประหยัดเงินในยุคนี้สีสันตลาดเสื้อผ้ามือสองกลับมาคึกคักอีกครั้ง “แม่ค้าพ่อค้า” พากันนำเสื้อกันหนาวมือสองวางขายหลากสไตล์หลายยี่ห้อแบรนด์เนมดังให้เลือกตามชอบ “ราคาก็เป็นตามภาพตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักร้อยบาท” ส่วนคุณภาพ “ตาดีได้ตาร้ายเสีย” โชคดีจะได้ของถูกใจกลับบ้าน แต่โชคร้ายก็ได้ของฉ่ำใจไปแทน แต่ว่า “เสื้อมือสองวางขายนี้” มักนำเข้าจากต่างประเทศแทบบอกแหล่งที่มาเลย ทำให้ต้องระวังปัญหาสุขภาพที่อาจแฝงมากับ “เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส” เพื่อให้สามารถใส่กันคลายหนาวได้อย่างปลอดภัยนี้ นพ.สุสัณห์ อาศนะเสน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล บอกว่า ในช่วงฤดูหนาวอากาศเย็นนี้ “ประชาชนบางคน” มักซื้อเสื้อกันหนาวมือสองสวมใส่กันต้องระวัง “สิ่งปนเปื้อนติดมากับเสื้อผ้ามือสอง” ด้วยประการแรกคือ “โรคเชื้อแบคทีเรีย” พบมากที่สุด “แบคทีเรียประจำถิ่น” ทนทานในสภาพสิ่งแวดล้อม 1 เดือน มักก่อโรคในคนภูมิต้านทานต่ำแข็งแรงน้อยแล้วติดมาตามเสื้อผ้ามือสองอย่างเช่น “เชื้อแบคทีเรียสแตปออเรียส” ที่เริ่มติดเชื้อจนผิวหนังอักเสบ เมื่อเชื้อตัวนี้เข้าร่างกาย “เกิดการท้องเสียอุจจาระร่วง หรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ” เลวร้ายสุดอาจติดเชื้อในกระแสเลือดก็ได้ถัดมา...“ไวรัสปนเปื้อนเสื้อผ้ามือสอง” มักเป็นไวรัสไม่มีเปลือกหุ้มไขมันสามารถทนทานอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าไวรัสมีเปลือกหุ้มนานเป็นเดือน เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสมือเท้าปาก ไวรัสเกิดอาการท้องเสีย ไวรัสโรตา ไวรัสโนโร ที่จะไม่ถูกทำลายด้วยสารละลายไขมัน เช่น แอลกอฮอล์ สบู่ สารฆ่าเชื้ออื่นได้ง่ายๆกลไกเกิดโรคนี้มัก “เข้าสู่ร่างกาย” จากการสะบัดเสื้อผ้าเชื้อโรคปนเปื้อนฟุ้งกระจายแล้วมือสัมผัสกับสิ่งของมีเชื้ออยู่นำนิ้วเข้าปาก อีกประเภท “ไวรัสมีเปลือกหุ้มไขมัน” ในกลุ่มอาการก่อโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโควิด-19 สามารถทนทานอยู่สภาพแวดล้อมได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์เท่านั้น แล้วทำลายล้างไวรัสได้ด้วยสบู่ แอลกอฮอล์ สารฆ่าเชื้ออื่นๆ เช่น สารประกอบคลอรีน และการซักผ้าด้วยผงซักฟอกได้ ทำให้การรับเชื้อติดมาจากเสื้อผ้ามือสองมีโอกาสเป็นไปได้น้อยด้วยซ้ำต่อมาคือ “โรคเชื้อรา” เรื่องนี้มีรายงานออกมาน้อย ตามปกติเชื้อราก็มักอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไปเพียงแต่ว่า “เชื้อราก่อโรคกลาก โรคเกลื้อน ปนเปื้อนเสื้อผ้ามือสอง” เกิดจากผู้ใช้เสื้อก่อนหน้านี้มีการติดเชื้อราทางผิวหนังแล้วถ่ายลงมาสู่ “เสื้อผ้ามือสอง” ทำให้คนซื้อก็มีโอกาสได้รับเชื้อก่อโรคต่อตามมานี้ก็ได้ทั้งยังมี “โรคหิด” พบตามรักแร้ ขาหนีบ ติดต่อสู่ผู้อื่นได้ และทนทานต่อสิ่งแวดล้อมไม่เกิน 3 วัน ดังนั้น นำเสื้อเก็บไว้ในถุงพลาสติกปิดมิดชิดทิ้งไว้อย่างน้อย 5-7 วัน ก็ทำให้เชื้อโรคหิดที่ติดมาตายได้แล้วทว่าส่วน “การลดการปนเปื้อนเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรียในเสื้อมือสอง” สามารถทำได้ 3 วิธีหลัก คือ วิธีแรก...“ทางกายภาพ” เป็นการซักล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาซักผ้าตามปกติ แต่อาจขยายเวลาการซักนานขึ้นจากเดิม 20 นาที ก็เพิ่มเป็น 40 นาที จะช่วยลดการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ดีขึ้นวิธีที่สอง...“ใช้สารเคมี” แช่ในน้ำยาฟอกขาว คลอรีน หรือใช้น้ำยาปฏิชีวนะ เช่น ซิลเวอร์นาโนน้ำยาฆ่าเชื้ออเนกประสงค์กำจัดแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อโรค ด้วยการเติมผสมผงซักฟอกนั้น วิธีที่สาม...“ใช้ความร้อน” ที่ต้องอุณหภูมิอย่างน้อย 60 องศาฯขึ้นไปเป็นอย่างน้อย 20 นาที กรณี “เครื่องซักผ้าทำความร้อนอบแห้ง” มักตั้งอุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาฯ อาจต้องซักผ้า 1 ชม. น่าจะเป็นการดี ถ้าไม่มีเครื่องซักผ้าทำความร้อนก็ควรใช้วิธีการซักแบบต้มน้ำร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคเช่นกันตามงานวิจัยการต้มด้วยความร้อน 70 องศาฯ 25 นาที สามารถลดเชื้อปนเปื้อนเสื้อผ้ามือสองได้ 99.99% ใช้สารเคมีลดเชื้อ 99.90% ความร้อนเตารีดลด 90% ซักล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกลด 90%ตัวเลขนี้ดูผิวเผินจะไม่ห่างกันมากแต่ในทางวิทยาศาสตร์ต่างกัน 10 เท่า เช่น เสื้อผ้ามือสองมีไวรัส 1 ล้านตัว ใช้ความร้อนเตารีดลด 90% เหลือไวรัสไม่ตาย 1 แสนตัว ถ้าใช้ต้มความร้อนลด 99.99% เหลือไวรัส 10 ตัว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำความสะอาดด้วยความร้อนดีที่สุด เช่นเดียวกับ “โรงพยาบาลทำความสะอาดเชื้อปนเปื้อนเสื้อผ้าทางการแพทย์” ที่มีกระบวนการสับสนอันเป็น “การลดอัตราโอกาสเสี่ยงอันตรายนำไปสู่ผู้ป่วย” โดยหลักก็ใช้ความร้อน 60-90 องศาฯ เพราะมีประสิทธิภาพสามารถทำลายฆ่าเชื้อโรคได้ดีกว่าวิธีอื่น อย่างกรณีโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาใช้ความร้อนทำความสะอาดเสื้อผ้า 70 องศาฯ 25 นาที โรงพยาบาลอังกฤษใช้ความร้อน 60 องศาฯ 10 นาที โรงพยาบาลเยอรมนี 90 องศาฯ 10 นาที และโรงพยาบาลประเทศไทย 70 องศาฯ 25 นาที เพราะมีการวิจัยศึกษาแล้วสามารถทำลายเชื้อโรคครอบคลุมทุกชนิดแต่ด้วย “เสื้อผ้าทางการแพทย์” มีเชื้อโรคปนเปื้อนสูง เมื่อผ่านขั้นตอนใช้ความร้อนต้องมา “ใช้สารเคมีความเข้มข้นสูง” เข้าช่วยลดทำลายเชื้อโรคซ้ำให้มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อีกด้วย ดังนั้น “การทำความสะอาดเสื้อกันหนาวมือสองก่อนสวมใส่” แม้มีหลากหลายวิถีแตกต่างกันไป แต่สิ่งฆ่าเชื้อโรคได้ประสิทธิภาพสูงคือ “การต้ม” ที่ความร้อนจะช่วยทำลายเชื้อโรคได้ดีกว่าทุกวิธี แต่ก็ต้องคำนึงถึงประเภทเสื้อกันหนาวมือสองด้วย “เสื้อผ้าบางชนิด” อาจไม่เหมาะต้มอาจทำให้เกิดความเสียหายก็ได้ประเด็นต่อมาเมื่อมี “เสื้อผ้ากันหนาวมือสองใช้ได้อย่างปลอดภัยแล้ว” ก็ยังมีเรื่องน่าห่วงในช่วงอากาศหนาวของทุกปีคือ “การระบาดของเชื้อไวรัส” เพราะสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมหนาวเย็นได้ดีแล้วอุณหภูมิที่เย็นลงนี้ “เชื้อไวรัสอยู่รอดได้นาน” สามารถแพร่กระจายการติดต่อเชื้อโรคง่ายอีกด้วยทว่า...“เชื้อไวรัส” แพร่กระจายอย่างมากในฤดูหนาวมีมากมาย เช่น “ไข้หวัดใหญ่” จากเชื้อไวรัสทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันที่พบมากรองจากไข้หวัดถัดมา “ไวรัสโควิด–19” ระบาดได้ดีในสภาพหนาวเย็น สามารถป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ล้างมือบ่อยๆ สบู่ เจล สเปรย์แอลกอฮอล์ซ้ำร้าย “วิธีป้องกันด้วยสบู่ สเปรย์แอลกอฮอล์” ไม่สามารถใช้ได้ผลกับ “เชื้อไวรัสโรคระบบทางเดินอาหาร” ที่ไวรัสไม่มีเปลือกหุ้มไขมันมักพบระบาดมากในฤดูหนาวเช่นกัน อย่างกรณีโรคอุจจาระร่วง ไวรัสโรตา ไวรัสโนโร ที่สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอาจเป็นอันตรายในเด็กเล็ก และผู้สูงอายุได้เสมออย่างกรณี “เรือสำราญแห่งหนึ่ง” ใช้ความเย็นถนอมอาหารป้องกันการก่อตัวขยายตัวเชื้อแบคทีเรีย แต่วิธีนี้ใช้กับ “เชื้อไวรัสในอาหาร และน้ำดื่มไม่ได้” เพราะยิ่งอุณหภูมิเย็นมากเท่าไรเชื้อไวรัสก็สามารถอยู่ได้นานเท่านั้น จนทำให้มีคนป่วยที่มีอาการอาเจียน ท้องเสียเกิดขึ้นจำนวนมากตามมา ในคราวนั้น สุดท้าย “การดูแลสุขภาพฤดูหนาว” คงหนีไม่พ้นต้องเฝ้าระวัง “เชื้อโควิด-19” เท่าที่ติดตามสถานการณ์การระบาดไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนในต่างประเทศแล้ว ดูท่า “ประเทศไทย” น่าจะยับยั้งอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายต้องเข้ามาระบาดในบ้านเราไม่ช้าก็เร็วแน่ๆ แต่ปัจจุบันผู้คนโซเชียลดิสแทนซิงมานานจนอ่อนล้ากันด้วยซ้ำผลตามมาคือ “ประชาชน” อาจจะให้ความร่วมมือน้อยลงแล้วตอนนี้ “วัคซีนที่มีอยู่” ก็มิใช่ตัวแปรอันเป็นที่พึ่งสำคัญอีกต่อไป ฉะนั้นคงต้องรณรงค์กันใหม่ “ในการป้องกันตัวเอง ล้างมือ สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง” แต่มองว่า “รัฐบาล” กำลังกังวล ไม่กล้าทำที่อาจส่งผลให้สังคมแตกตื่นกระทบต่อการท่องเที่ยวปลายปีนี้เช่นนี้ “ประชาชน” คงต้องระวังตัวเองขั้นสูงสุดเพราะ “วัคซีนฉีดก่อนหน้านี้” อาจช่วยป้องกันไม่ดีพอกับ “ไวรัสโอมิครอน” โดยเฉพาะการติดเชื้อในครอบครัวที่กำลังกลายเป็นปัญหาหลักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหนาวนี้คนไทยควรดูแลสุขภาพ ทำให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ “อย่าละเลยคาถาป้องกันโควิด-19” ทำได้ง่ายๆสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างเป็นเกราะคุ้มภัยตัวเอง ครอบครัวปลอดภัย.