เรื่องเล่าหรือนิทานตาเถร ทำอะไรพิเรนทร์ๆ ได้ยินกันหลายเรื่อง แต่ถ้าถามกันว่า ตาเถร คือใคร หาคนตอบได้จริงๆ ก็แทบไม่มีคนรุ่นผมเกิดหลังสงคราม เขาเรียกเบบี้บูม อายุเกิน 70 ปี คุ้นเคยกลิ่นอายวัดวา ยังมโนไม่ออกในนิทานชาวไร่ เล่ม 2 น.อ.สวัสดิ์ จันทนี ฟังจากปาก หลวงวรภักดิ์ภูบาล มหาดเล็กในสมัยรัชกาลที่ 6 เล่าให้ฟังอีกที ตอนที่สองท่านนอนป่วยในโรงพยาบาลทหารเรือ ปากคลองมอญ พ.ศ.2504ราว ร.ศ.112 คุณหลวงอายุห้าขวบ ท่านแม่พาไปค้างที่วังพระองค์ลดาวัลย์ ราชธิดารัชกาลที่ 3 ปากคลองบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี คุณหลวงไปเดินเล่น ที่วัดหมื่นรักษ์ เจอตาเถรสองคนคนหนึ่งชื่อเพิ่ม อีกคนจำไม่ได้รูปลักษณ์ของเถรเพิ่ม ที่หลวงวรภักดิ์ภูบาลเห็น ก็คือพระโกนหัวห่มเหลืองนี่เองเรื่องที่หลวงวรภักดิ์จำได้ เถรเพิ่มก้มตัวลงไปวักน้ำจากท้องร่องขึ้นมาดม แล้วบอกเสียงดัง “ตรงนี้มีตะพาบน้ำ”เถรคนที่สอง ได้ยินก็เดินออกมาช่วยกันวิดน้ำอีกแรง จนน้ำขอดถึงก้นท้องร่อง ก็เจอตะพาบน้ำตัวโตเท่ากระทะ เถรเพิ่มไม่แค่เก่งเรื่องดมน้ำก็ได้กลิ่นตะพาบเท่านั้น พอเห็นหลังตะพาบเปรอะด้วยรอยเล็บก็บอกว่า “ตัวนี้ตัวเมีย” แล้วสองเถรก็คุยกันจับความได้ว่า ตะพาบตัวผู้ยังอยู่อีกตัวใกล้ๆ“มันยังไม่ไปไหนหรอก” เถรคนหนึ่งว่า “วันหลังจึงค่อยขุด”แล้วสองเถรก็ช่วยกันอุ้มตะพาบน้ำ เอาไปต้มยำทำแกงตามความถนัดหลวงวรภักดิ์ฟังผู้ใหญ่คุยกัน จึงรู้ว่าสองเถรในวัดหมื่นรักษ์ มีอาชีพเป็นนักสวด และนักสวดสมัยนั้น ว่ากันจริงๆก็คือลิเก แต่เป็นลิเกแบบนั่ง ตอนสวดแต่งองค์ทรงเครื่อง ใส่ชฎา ใส่ตุ้มหู ผัดหน้าทาแป้งเถรนักสวดมีชื่อบางคน ไว้หนวดเครายาวครึ้ม ที่พระในวัดทำกันได้ หลวงวรภักดิ์ภูบาลคุยว่า สมัยนั้นกรมการศาสนายังไม่เกิด พระจึงจำแลงแปลงร่างเป็นเถร “เละเทะกันมาก”ตอนที่คุยเรื่องนี้ หลวงวรภักดิ์ อายุอยู่ในบั้นปลาย พอเดาเหตุการณ์ย้อนหลังได้ ช่วงเวลานั้น งานสวดไม่มีสองเถรจึงต้องออกหาตะพาบมาเป็นเสบียงเลี้ยงท้องเอาตัวรอดไปอีกวันน.อ.สวัสดิ์ฟังหลวงวรภักดิ์เล่า ก็ประมวลเอากับเรื่องเก่าๆที่เคยได้ยินไม่แค่พระในบางกอกจะประพฤติตนเป็นเถร ผิดศีลทั้งข้อกาเมฯ คือมีเมีย ข้อปาณาติบาต ที่เมืองสมุทรสงคราม มีข่าวพระ นักสวดโลดโผนพิสดารยิ่งกว่าวันหนึ่ง พระนักสวดสองสำรับ แสดงประชันกัน สำรับหนึ่งแสดงสิงโตคาบแก้วชื่อสิงโตคาบแก้ว นักสวดเอาก้นมาเขียนเป็นหน้าสิงโต ถลกสบงออกโชว์ พวกผู้ชาย ฮากันครืนไป แต่ผู้หญิงร้องว้าย ต้องปิดตาทนดูไม่ไหวข่าวแพร่มาเข้าบางกอก คณะสงฆ์ประกาศห้ามพระนักสวดทั่วราชอาณาจักร แต่ พ.ศ.ใด น.อ.สวัสดิ์ท่านจำไม่ได้ ถ้าเป็นการสวดพระมาลัย ผมพอจำได้ สั่งห้ามสวดในสมัยรัชกาลที่ 4อ่านเรื่องที่ น.อ.สวัสดิ์ จันทนี เล่า ผมจึงพอสรุปความได้ คำ “ตาเถร” ชาวบ้านเรียกพระที่มีความประพฤตินอกรีตนอกรอย...แต่ยังด้านหน้าห่มผ้าเหลืองหากินอยู่ในวัด สมัยนี้เขาเรียกอลัชชี ยังพอมีให้เห็นกันอยู่เรื่องตาเถร คงฝังใจ พวกผู้หญิงจึงเอาไปเป็นคำอุทาน ตอนตกใจ ว้ายตาเถรช่วย ตาเถรตกกระได...ฟังจากน้ำเสียงดูจะไม่เกลียดชังกันนักเลย.กิเลน ประลองเชิง