ยามวิกฤติมรสุมรุมเร้า “ประเทศไทย” รอบด้านทั้งโควิด-19 ระบาดทำให้มียอดผู้ป่วยรายใหม่นับหมื่นอยู่นี้กลับต้องเจอการชุมนุมประท้วง “ขับไล่รัฐบาล” ที่กำลังรุ่มร้อนระอุมากขึ้นทุกวัน ยิ่งกว่านั้นยุคที่ “ประชาชนมีสื่อในมือ” สามารถเข้าถึงข้อมูลง่ายรวดเร็วนี้ก็มีปรากฏการณ์ “นักข่าวไซเบอร์” ที่คิดว่าตนเองเป็น “สื่อ” แต่มักไม่ตระหนักถึงหลัก “วิชาชีพสื่อ” ที่ต้องมีจรรยาบรรณบนความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้มี “เฟกนิวส์” ออกมาสร้างความปั่นป่วนสับสนตื่นตระหนกแก่คนในสังคมอยู่ทุกวันเหตุนี้ “สื่อมวลชนวิชาชีพ” ผู้มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะด้าน ถูกถ่ายทอดเจตนารมณ์กันมา “ผ่านรุ่นต่อรุ่น” ยังคงทำหน้าที่กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารนำเสนอผ่าน “ระบบกองบรรณาธิการ” ผ่านการตรวจคัดกรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ถูกต้องครบถ้วนรอบด้าน โดยเฉพาะ “สื่อหลัก” ที่มีอิทธิพลต่อการสื่อข่าวสารได้ในวงกว้างนี้เพื่อลดความรุนแรงจาก “สื่อเฟกนิวส์ล้นทะลักบนกระแสโลกโซเชียลฯ” อันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนสังคมออนไลน์สามารถสร้างการเปลี่ยนก่อให้เกิดความเสียหายขนาดใหญ่ได้ในพริบตาบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชนนี้ มานิจ สุขสมจิตร นักหนังสือพิมพ์อาวุโส เล่าว่า สมัยก่อนหลักสูตรการสื่อสารมวลชนเปิดสอนมีที่ ม.ธรรมศาสตร์ทำให้นักข่าวเรียนจบตรงน้อยแม้ตัวเองก็จบคณะนิติศาสตร์มาทำงานนักข่าวหนังสือพิมพ์ประจำศาลด้วย “ครูพักลักจำ” ที่มีรุ่นพี่คอยแนะนำสั่งสอนเขียนข่าวมาอย่างใกล้ชิดทว่า “การหาข่าวก็ทำได้ยากลำบาก” สมัยนั้นหน่วยงานราชการไม่มีฝ่ายประชาสัมพันธ์คอยให้ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่เหมือนปัจจุบันนี้แม้แต่ “ประชุม ครม.” ก็ไม่มีแถลงข่าวใดๆ “นักข่าว” ดักกระแซะรอสัมภาษณ์ รัฐมนตรีออกจากห้องประชุมเสร็จมัก “ไม่มีใครพูด” เพราะอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์จะเป็นผู้ให้ข่าวได้เท่านั้นดังนั้นสำนักข่าวต้องมารวมตัว “กรมประชาสัมพันธ์” รอการแถลงข่าวที่จะมีโอกาสสัมภาษณ์เพิ่มในประเด็นอื่นได้แล้วเข้าโรงพิมพ์นั่งเขียนข่าววันละ 3-4 เรื่องต่อคน มีกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอนจาก “บรรณาธิการข่าว” ทำให้ข่าวตีพิมพ์ลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ มีความครบถ้วนรอบด้านถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดส่วนนักข่าวต่างจังหวัดใช้วิธีส่งข่าวผ่านจดหมาย โทรศัพท์ และภาพข่าว วิดีโอข่าว ถูกส่งผ่านรถประจำทาง เรือบิน ต่างจากปัจจุบันมีเครื่องมือทันสมัย “ส่งข่าว และภาพข่าว” ผ่านอีเมลได้สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งหลายหน่วยงานยังต้องการออกข่าวองค์กรตัวเองด้วย “การซื้อโฆษณา” ทำให้กิจการสื่อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่า...“นักข่าวรุ่นเก่า” ส่วนใหญ่จะวางตัวแบบเรียบง่ายถ่อมตัวไม่กร่าง ใหญ่โตมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ทำให้สามารถเข้าหาได้ทุกคนเพราะ “มุ่งทำงานด้านข่าว” ไม่มีอย่างอื่นเสริมลักษณะทำกันด้วยใจรักในอาชีพเป็นปากเสียงให้ความรู้แก่สังคม บนพื้นฐานประโยชน์สาธารณะ จนแทบไม่ได้ผลตอบแทนอะไรด้วยซ้ำเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ “สังคมเกิดความเคารพเชื่อถือ” โดยเฉพาะแหล่งข่าวมักให้เกียรติแก่ “นักข่าว” ที่รู้จักวางตัวดีเป็นนิสัยสามารถเข้าถึง “บรรดารัฐมนตรี...ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประจำกระทรวง” ได้โดยง่ายจนถูกยกย่องเป็น “ฐานันดรที่ 4” เป็นบุคคลมีคุณสมบัติพิเศษที่ยิ่งใหญ่ในการดูแลสอดส่องสังคมเปรียบเป็นเหมือน “ยามเฝ้าแผ่นดิน” คอยรักษาผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมไม่ให้ผู้เข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กอบโกยผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นของส่วนตนแต่ปัจจุบัน “พัฒนาการสื่อ” ตามเทคโนโลยีจากที่เคยมี “สื่อมวลชน” ในการเสนอข่าวสารแบบเดิม...หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ก็ปรับเปลี่ยนเป็น “สื่อปัจเจกเอกชน” รูปแบบสื่อใหม่บนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น ทวิตเตอร์ ไลน์ เฟซบุ๊ก แต่ไม่ถูกเรียกว่า “สื่อมวลชน” เพราะออกข่าวตามโอกาสที่ไม่ได้ทำเป็นปกติธุระไม่มี “ระบบกองบรรณาธิการ” ตรวจสอบรับผิดชอบควบคุมปฏิบัติตามจรรยาบรรณในวิชาชีพต่างจาก “สื่อมวลชนอาชีพ” มีสังกัดอยู่ภายใต้การควบคุมองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทย เหตุนี้สื่อใหม่เพิ่มขึ้นมักเสนอข่าวตามกระแสจน “ขาดข่าวเชิงตรวจสอบ สืบสวน” เปิดโอกาสให้คนไม่ดีทุจริตทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ตอนนี้ “ดังนั้นตราบใดสังคมมีความเคลื่อนไหวก็ยังมีความจำเป็นต้องมี “สื่อมวลชนวิชาชีพคอยทำหน้าที่เสมือนประทีปนำทางให้ผู้คน” ด้วยการใช้สิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญรับรองไว้ ในการแสวงหาข่าวสารที่ถูกต้องรายงานให้สังคมได้รับรู้รับทราบ เพื่อการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป” มานิจ ว่า“สื่อไม่มีจริยธรรม” ที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้เกิดความเข้าใจผิดกระทบต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของสังคมเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ร.บ.ภัยไซเบอร์ มักถูกดำเนินคดีกันทุกวัน เพราะคำว่า “ทุกคนสามารถเป็นสื่อได้” จนกลายเป็นผู้ต้องหามานักต่อนักแล้วเช่นกันเช่นเดียวกับ มงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ย้ำว่า ปัญหาจริยธรรมสื่อมวลชนถูกโจมตีมาทุกสมัยเป็นผลให้ “ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ” ปรับการนำเสนอข่าวในทางที่ดีขึ้นตลอด เช่น กรณีการเสนอข่าวละเมิดสิทธิเด็ก เหยื่อ ผู้ถูกทำร้ายถูกจัดระเบียบด้วยกฎหมาย...สังคมมาต่อเนื่องยิ่งปัจจุบันการทำหน้าที่สื่อมวลชนขัดต่อสังคมแล้วล่ะก็มักถูกสะท้อนผ่านโลกโซเชียลฯ “บางสื่อทนกระแสต่อต้านไม่ไหว” ต้องออกมาขอโทษหรือปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดให้ดีขึ้นตามมา และอยากให้สังคมเอง “ยอมรับให้อภัย” เพื่อให้สื่อทำหน้าที่เดินหน้าเสนอข่าวให้ประชาชนอย่างถูกต้องต่อไปเพราะแม้ว่า “ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ” สามารถทำหน้าที่สื่อสารได้เอง แต่ว่า “สังคมโดยรวม” ยังมีความจำเป็นต้องการข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องน่าเชื่อถือจาก “สื่อมวลชนวิชาชีพ” ผู้ทำหน้าที่นำเสนอความจริงออกสู่สาธารณชนต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมปัญหามีว่า... “ยุคที่ทุกคนมีสื่อในมือแย่งชิงความเป็นสื่อมวลชน” นี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะมีในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีคนพยายามหาคำนิยามโต้แย้งถกเถียงเรื่องนี้กัน เช่น บางคนนำยอดติดตามเพจบนออนไลน์มากกว่าสื่อหลัก มากล่าวอ้างกันอยู่เสมอ แต่สิ่งนี้ไม่อาจการันตีความเป็นสื่อมวลชนวิชาชีพด้วยซ้ำ หลักสำคัญ “สื่อมวลชนวิชาชีพ” ต้องมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะทำอย่างเดียวกับ “คนรุ่นเก่า” ปฏิบัติสืบทอดกันมา “ยึดจรรยาบรรณวิชาชีพ” ตั้งแต่ค้นหาข้อมูลไม่มีประโยชน์ทับซ้อน แสวงหาความจริงครบถ้วนรอบด้านถูกต้องที่สุด โดยไม่ตัดสินบุคคลใดๆ แล้วนำเสนอข่าวสารนั้นให้ประชาชนทราบด้วยความเป็นธรรมจริงๆแล้วนิยาม “สื่อมวลชน” สมัยก่อนมาจากการนำข้อมูลไปสู่ “มวลมหาประชาชนจำนวนมาก” แต่ยุคนี้โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวสามารถส่งข้อมูลสู่หลักล้านคนได้สบายแล้ว ดังนั้นการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทันสมัยมิอาจแสดงตัวตนว่า “เป็นสื่อมวลชน” ซึ่งต้องเป็นผู้มีเทคนิควิธี ความสามารถถ่ายทอดข่าวสารโดยไม่มีการแต่งเติมนำออกสู่สาธารณชนแล้ว “ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะยอมรับเชื่อถือหรือไม่เป็นสำคัญ” เชื่อว่าอนาคตอันใกล้ “น่าจะมีระเบียบจดทะเบียนธุรกิจประเภทสื่อสารมวลชนออนไลน์” เพื่อป้องกันการแอบอ้างหลอกลวง แบล็กเมล์ เรียกรับผลประโยชน์ที่มิควรได้มิชอบตามมา... สุดท้ายแล้ว “สื่อมวลชนวิชาชีพ” มีความสำคัญต่อสังคมปัจจุบันและอนาคตอันดับต้นที่ต้องการผู้ทำหน้าที่นำข้อมูลมากลั่นกรองเป็นข่าวสารให้ถูกต้องใกล้ความจริงที่สุด ด้วยหาเหตุผลอธิบายชี้ทางออกแนวโน้มสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละวัน “ผู้ทำหน้าที่นี้ได้ดี” ต้องมีจรรยาบรรณปราศจากอคติทั้งปวงด้วยซ้ำโดยเฉพาะ “ยุคทุกคนเป็นสื่อ” แสดงความคิดเห็นผ่านข้อความ คลิปวิดีโอชี้นำสังคมมากมาย “สื่อมวลชนวิชาชีพ” ต้องช่วยกลั่นกรองความถูกต้องให้ประชาชนมีข้อมูลการตัดสินใจต่อการใช้ชีวิตอันชัดเจนฝากไว้ว่า “สื่อต้องยืนบนจริยธรรม...จรรยาบรรณวิชาชีพ” ที่ช่วยค้ำจุนให้ประชาชนยอมรับเชื่อมั่นตลอดไป อย่ามุ่งเนื้อหาหวือหวาหวังยอดวิวเพราะข่าวสารที่ออกมามีผลต่อสังคมไม่มากก็น้อย.