แม้ว่าการเมืองจะอยู่ในวาระร้อนแรง ทั้งในและนอกสภา แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังปลีกเวลาไปแสดงปาฐกถาให้นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ฟัง ในหัวข้อผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เป็นวาทะที่น่าเสื่อมใสนายกรัฐมนตรีบรรยายถึงยุทธศาสตร์ชาติ ในประเด็นสำคัญๆ ได้แก่การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล การสร้างความแข็งแกร่ง ของเศรษฐกิจภายในประเทศ กระจายโอกาสสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นว่ารัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติบังคับให้รัฐจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการเป็นพลังผลักดันไปสู่เป้าหมาย เป็นรัฐ ธรรมนูญฉบับแรกที่บังคับให้มียุทธศาสตร์ชาติ และรัฐบาลต้องปฏิบัติโดยมอบหมายให้ ส.ว.ที่มาจาก การแต่งตั้ง ของคณะรัฐประหาร คสช. เป็นผู้จัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการ ให้รัฐสภาทราบในทุกสามเดือน นับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เดือนเมษายน 2560 เป็นต้นมา ไม่ทราบว่าคืบหน้าถึงไหนแต่เท่าที่ทราบในขณะนี้ หลังจากที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมากว่า 4 ปี ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการพัฒนามนุษย์ และคำสัญญาที่ว่ารัฐบาลพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ และต้องการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศ ยังไม่เกิดขึ้น ชัดเจนที่สุดก็คือรัฐบาลไม่รับฟังเยาวชนหลายกลุ่มที่ออกมาชุมนุมตรงกันข้ามเจ้าหน้าที่รัฐกลับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สลายการชุมนุมทันทีและเกิดการปะทะกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง ก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม สำนักงานนโยบายการเงินประเมินว่า ปีนี้จีดีพีของไทยอาจโตแค่ 1.3% ต่ำสุดในกลุ่มอาเซียน และอาจถึงกับติดลบเป็นปีที่สองจะกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยติดต่อกันสองปีซ้อน เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี นับแต่วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ยิ่งกว่านั้น ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้า ไทย ยังสำรวจพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปีนี้ ลดต่ำสุดในรอบ 22 ปี 6 เดือน การล็อกดาวน์ทำให้ธุรกิจ 29 จังหวัดเจ๊งยับเยิน.