“ทีมข่าวการเมือง” ได้ถือโอกาสการเปลี่ยนผ่านสู่ศักราชใหม่ เปิดหน้าสัมภาษณ์พิเศษ โดยคัดสรรบุคคลที่เป็นจิ๊กซอว์ “ชิ้นสำคัญ” ในสถานการณ์ทางการเมืองช่วงต่างๆ มาแง้มมิติทางความคิด มุมมองและตัวตน จากถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ของบุคคลสำคัญชนิดเกาะติดกระแสบุคคลคนแรกของปีฉลูไฟ ที่ “ทีมข่าวการเมือง” เลือกก็คือ นายไชยันต์ ไชยพร คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชี่ยวกรากด้านปรัชญาการเมืองระดับแถวหน้าอีกคนของประเทศไทย ผลิตงานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับสถาบันนายไชยันต์ ได้เปิดแนวคิดไว้กับทีมการเมือง ในสถานการณ์การเมืองที่กำลังขับเคี่ยวต่อสู้ทางความคิดระหว่าง “ฝ่ายภูมิปัญญาใหม่” กับ “ฝ่ายภูมิปัญญาที่ดำรงอยู่” โดยเริ่มต้นที่การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือนายก อบจ. และสมาชิกอบจ. เพราะหลายฝ่ายมองเป็นความพ่ายแพ้ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อาจมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งใหญ่ความจริงการเลือกตั้งใหญ่แตกต่างกับการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะการเลือกตั้งใหญ่เป็นแบบจัดสรรปันส่วนผสม คะแนนไม่ทิ้งน้ำ สามารถรวบรวมคะแนนทั่วประเทศมาคิดเป็นสัดส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อขณะที่ระบบเลือกตั้งท้องถิ่นนับคะแนนแต่ละเขต แต่ละจังหวัด แม้มีคะแนนก็ไม่เยอะ นำไปสู่ความพ่ายแพ้ แต่ไม่ขอพูดการเลือกตั้งท้องถิ่นใช้ประเด็นสถาบันหรือไม่ระบบเลือกตั้งแบบนี้อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะชาวบ้านต้องการความช่วยเหลืออีกแบบจับต้องได้ เป็นรูปธรรม ไม่ต้องการอุดมการณ์มากมาย ฉะนั้นนักการเมืองรุ่นเก่า นักการเมืองบ้านใหญ่ยังตอบโจทย์ประชาชนการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป ถ้าระบบการเลือกตั้งยังเป็นแบบจัดสรรปันส่วน พรรคก้าวไกล คงได้ 5-6 ล้านเสียงจากฐานเสียงของคนรุ่นใหม่ยกเว้นมีประเด็นที่แหลมคมเปิดโปงเรื่อยๆ จนเห็นบาดแผลแสดงถึงความไม่จริงใจต่อการทำงานทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ในที่สุดก็เกิดพลิกผันทางการเมืองได้ เพราะเยาวชนสนใจความจริง ต้องการความจริงตามไทม์ไลน์การเมืองกว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขเสร็จ ประกาศใช้ฉบับใหม่ก็หลังเดือน ธ.ค.2565สมมติเดือน เม.ย.2564 ลงประชามติให้แก้รัฐธรรมนูญ เดือน ต.ค.2564 ได้ ส.ส.ร.ครบ ยกร่างรัฐธรรมนูญนับไปอีก 8 เดือนก็เป็นเดือน มิ.ย.2565 หลังจากนั้นทำประชามติอีกครั้งก็จบ นำร่างรัฐธรรมนูญทูลเกล้าฯ นับไปอีก 90 วันตลอดไทม์ไลน์อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น ทั้งนายกฯลาออก ยุบสภา แต่รัฐประหารไม่เกิดขึ้น 100% หรือทำประชามติให้แก้รัฐธรรมนูญไม่ผ่านตั้งแต่เดือน เม.ย.2564 ก็ไปแก้ในมาตราที่ทำได้โดยไม่ต้องทำประชามติตามไทม์ไลน์การเมือง ยังมีประเด็นที่ก้าวหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบัน ทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ นายไชยันต์ บอกว่า จังหวะที่เสนอ “10 ข้อปฏิรูปสถาบัน” ไม่ได้นำไปสู่การล้มล้างคนไทยจำนวนหนึ่งรับฟังได้ แต่การปฏิรูปเกี่ยวกับการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องและแก้รัฐธรรมนูญ แม้ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่สถาบันได้ฟังเสียงจากทุกภาคส่วน การปรับตัวก็เกิดขึ้นเองได้ในบางช่วงได้ขอให้อาจารย์ยกตัวอย่างการปฏิรูปสถาบันในต่างประเทศ โดย นายไชยันต์ บอกว่า การปฏิรูปสถาบันในต่างประเทศหัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ขึ้นอยู่กับสถาบันรัฐสภาที่ถ่วงดุลอำนาจกับสถาบันหลัก เช่น อังกฤษสมัยศตวรรษที่ 17 รัฐสภาเป็นฝ่ายเสนอปฏิรูป แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ฟังกันจนเกิดสงครามกลางเมือง สร้างหายนะยาวถึง 7 ปี เป็นตัวอย่างที่ไม่รับฟังกันจนเกิดความรุนแรงในกรณีของไทยการปฏิรูปควรคำนึงถึงบริบทแบบไทย เกี่ยวกับการเคารพสักการะทำให้เหมาะสม มีมารยาท อย่าใจร้อน ไม่ได้ภายใน 1 ปี ก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติแต่คนที่ต้องการให้ล้มกระดานจะเดือดร้อนที่สุด โดยเฉพาะพวกถูกตัดสิทธิทางการเมือง เพื่อหวังผลกลับเข้ามาใหม่เมื่อประชาชนเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปเข้ามา รัฐสภาควรมีอิสระในการทำหน้าที่ หรือมีประเด็นเข้าสู่ ครม. ผู้นำฝ่ายบริหารที่ดีจะไม่ปล่อยให้เกิดกระแสที่เป็นลบต่อสถาบัน แค่นี้ก็ทำให้สถาบันดูสง่างามเพราะตามโครงสร้างสัมพันธภาพถ่วงดุลอำนาจ ทั้งสถาบัน นายกรัฐมนตรี วุฒิสภา สภา กองทัพ ถ้ามีประเด็นอะไรเข้าที่ประชุม หากแต่ละฝ่ายไม่ทำตามหน้าที่ย่อมสร้างความเสียหายแก่สถาบัน ประเด็นนี้แก้ง่าย โดยเมื่อมีการสงสัย ต้องกล้าพูด แล้วมีฝ่ายตอบความจริงให้สถาบัน เพื่อคลายข้อสงสัยให้แก่ประชาชนวิธีการนำเสนอทำให้ “ฝ่ายภูมิปัญญาที่ดำรงอยู่” รับไม่ได้ไม่เหมาะ ไม่ควร อาจเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น นายไชยันต์ บอกว่า ถูกต้องถ้าประกาศข้อเรียกร้อง 10 ข้อและไปยื่นหนังสือถึงสภา เพราะเกี่ยวข้องกับการแก้กฎหมายก็จบ เป็นการให้เกียรติกันและกัน จากนั้นรอเวลา หากสภาไม่ขับเคลื่อนตามกลไกก็ออกมาแสดงพลังอีก แต่อย่าใช้คำหยาบคายแบบนี้เชื่อว่าสังคมรับได้ สังคมรับรู้ ทุกชนชั้นรับทราบ นอกจากพวกขวาตกขอบ พวกโหนกระแส พวกได้ประโยชน์ พวกพยายามทำตัวให้เป็นจุดสนใจที่ต้องการโหนขึ้นไป ถึงรับไม่ได้ ม็อบราษฎรตั้งแท่นเคลื่อนไหวต่อการปฏิรูปสถาบันควรมีทางออกอย่างไร เพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ นายไชยันต์ บอกว่า ชุมนุมให้พอเหตุสมควรการปฏิรูปสถาบันถ้าไม่ทำวันนี้ให้สัมฤทธิผล ก็ไม่มีใครเป็นอะไร กลับไปรอดูผลสักพักหลังเคลื่อนไหวให้ความรู้แก่ประชาชน หากเรื่องถึงสภา ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วย ก็ต้องยอมรับรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป มีพรรคการเมืองไหนที่ฝากความหวังได้ หรือพรรคไหนต้องการได้คะแนนเสียงเกี่ยวกับการปฏิรูป ก็เสนอตัวกันมา ทำตามกระบวนการการรีบร้อนแบบนี้มีจุดมุ่งหมายไม่ใช่ปฏิรูปสถาบันแต่ต้องการยั่วยุให้แตกแยก เกิดการปะทะเปิดให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยขยับ กลายเป็นม็อบชนม็อบให้รัฐบาลใช้กำลัง เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลและฝ่ายขวาในประเทศหรือยั่วยุให้เกิดรัฐประหารหากเกิดรัฐประหาร แน่นอนม็อบพ่ายแพ้และสงบ แต่ฝ่ายที่ชนะจริงในระยะยาวคือม็อบ เพราะแค่ออกมาเคลื่อนไหวใช้เสรีภาพถึงกับใช้กำลังและยึดอำนาจ กรณีม็อบคนผิวสีในสหรัฐอเมริกาประท้วงต่อการใช้ความรุนแรงจับกุมนายจอร์จ ฟลอยด์ จนเสียชีวิต ยังไม่เห็นมีการยึดอำนาจปี 2563 ทุกฝ่ายมีการพัฒนาไปอีกระดับ ไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร นายไชยันต์ บอกว่า การรัฐประหารไม่ได้ช่วยอะไร รวมทั้งฝ่ายที่ยอมรับการรัฐประหาร ตอนแรกก็รู้สึกลิงโลด ในที่สุดไม่ได้ช่วยอะไรสุดท้ายสถาบันได้รับความเสียหาย เกิดรัฐประหารแต่ละครั้งก็มีการพาดพึงถึง แต่หลังจากมีการเรียนรู้ในยุคที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วเชื่อมั่นยุคนี้ไม่เกิดรัฐประหาร ทุกฝ่ายสบายใจได้ที่สำคัญสังคมไทยไม่เปราะบาง รู้ทันกลเกมการยั่วยุสมมติคนที่คิดอยากให้เกิดรัฐประหารโดยใช้การยั่วยุ ถือว่าเป็นวิธีคิดแบบไดโนเสาร์เต่าล้านปีในเมื่อสังคมไม่เปราะบาง แสดงให้เห็นการเมืองปีนี้เคลื่อนไปในทางที่ดี นายไชยันต์ บอกว่า คงหมายถึงขับเคลื่อนโดยไม่มีรัฐประหาร การเมืองเดินตามกระบวนการ มีปัญหาใช้กฎหมายจัดการ ทั้งตำรวจ อัยการ ศาล มีการพัฒนาการขึ้น ไม่ต้องห่วง ทั้งนี้ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นการจาบจ้วงสถาบัน ออกสู่สาธารณะอย่างเป็นระบบ ทำซ้ำๆการปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปสถาบันปีนี้ยังเป็นประเด็นที่แหลมคม ต่อไป นายไชยันต์ บอกว่า ม็อบราษฎรได้เปิดไพ่ทั้งหมดแล้ว ไม่มีมุกใหม่ เหลือเพียงการปฏิรูปการเมืองที่ยังแหลมคมเช่น ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญเดือน เม.ย.2564 ย่อมมีประเด็นรณรงค์ว่าแก้หรือไม่แก้ หากไม่ผ่านประชามติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ตามมาได้ฉะนั้นม็อบราษฎรควรเข้าใจกลไกในรัฐสภาถอยตั้งหลักรอการเลือกตั้งรอบใหม่นำเรื่องนี้เสนอต่อพรรคการเมืองหรือตั้งพรรคขึ้นมาแข่งขันเพื่อเป็นการปฏิรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป.ทีมการเมือง