ขอให้ความขัดแย้งวุ่นวายคลี่คลายมากกว่านี้ ถึงนำเสนอทางออก พล.อ.สายหยุด เกิดผล รองประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย และประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (พีเน็ต) บอกผ่าน ทีมข่าวการเมืองซึ่งท่านเป็นหนึ่งในรายชื่อคณะประชาชน ล่าสุดผู้ประสานงานคณะประชาชนขออนุญาตนำชื่อออก เพราะท่านมีอายุมากแล้ว แต่ ทีมข่าวการเมือง ขอหยิบมุมมองนำเสนอให้เป็นแง่คิดแก่สังคม ในฐานะเป็นนายทหารผู้มีบทบาทนำแนวคิดประชาธิปไตยมาต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิอื่นๆ สุดท้ายชนะโดยไม่ต้องรบ และยังแก้ปัญหาสำคัญของบ้านเมืองอีกหลายเรื่อง รวมถึงปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้ไม่อยากพูดอะไร เดี๋ยวไปเสริมความขัดแย้งวุ่นวาย ขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีปัญหาความขัดแย้ง ปนกับการชี้แจง การวาดภาพ และการเสนอข้อเรียกร้องต่างๆตอนนี้ยังวิเคราะห์ว่ามันจริงแท้หรืออะไร แค่ไหน ขอวางตัวเป็นกลางสักพักก่อน เพื่อให้รู้แน่ชัดถึงนำเสนอทางออก ปัญหาคือปัญหาขัดแย้งทางความคิดของเราเข้าใจว่าแต่ละคนคิดเอาเอง ข้อขัดแย้งเกิดจาก 3 เอ็มตามที่นักปราชญ์ท่านหนึ่งระบุเอาไว้ คือMisconception คิดเอาเองว่าคนนั้นจะเป็นศัตรูคนนี้ คนนั้นกำลังคิดร้าย กำลังเอาลัทธินั้นลัทธินี้มาMisinformation ข่าวสารต่างๆที่ใช้มันไม่ตรง ไปเป็นลูกมือของใครไม่รู้Miscommunication การสื่อสารผิดพลาด แต่เรามีเครื่องมือถามได้ว่ามันจริงไหม ถามได้ใครที่เป็นศัตรูอยากให้สถานการณ์ความขัดแย้งวุ่นวายคลี่คลาย ถึงเสนอทางออก พล.อ.สายหยุด บอกว่า ใช่ เพราะเราแก้ปัญหาในเรื่องที่ไม่มีปัญหา ถึงมีปัญหา ปัญหาก็ไม่ตรงกันทุกคนต่างรักชาติ ศาสนา สถาบันมีไทยประเทศเดียวเป็นเอกราชและอยู่มายืนยาว แล้วเราขัดแย้งในเรื่องอะไร ขัดแย้งในเรื่องที่ทุกคนยึดมั่น รักและส่งเสริมอย่างเดียวกันตรงนี้ยังตีความหรือวิเคราะห์ไม่ออกการขัดแย้งในด้านความคิดมันอาจมีอะไรที่เราหรือผมยังไม่เข้าใจ ยังไม่ทราบวิธีแก้ปัญหาหากทุกคนพูดจากันรู้เรื่องก็แก้ปัญหาได้ ขณะที่ นายเกษม ศุภสิทธิ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา 1 ใน 157 คน นามคณะประชาชน บอกทวนถึงข้อเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจ ต้นขั้วมาจากการชุมนุมของ “กลุ่มราษฎร” ในห่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความรู้สึกไม่พอใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รวมถึงคณะรัฐมนตรี ได้ขยายตัว มีแนวโน้มรุนแรงจริงจังมากขึ้นแม้รัฐบาลใช้กลไกรัฐ ประกาศใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินในระดับร้ายแรง จับกุมแกนนำ ใช้วิธีการทางกฎหมายต่างๆ ก็ไม่สามารถห้ามปรามการแสดงออกถึงความไม่พอใจของ “กลุ่มราษฎร” ได้ยิ่งตำรวจใช้กำลังรุนแรงสลายการชุมนุมที่สี่แยกปทุมวัน กทม. ก็ไม่เป็นไปตามหลักสากลของสหประชาชาติ ราวกับจัดการจลาจล ทั้งที่เป็นการชุมนุมโดยสงบเข้าข่ายขาดความชอบธรรมในการปกครองประเทศทั้งที่สาเหตุนำไปสู่การชุมนุมเกิดจากความไม่พอใจต่อการบริหารประเทศที่ล้มเหลวในด้านเศรษฐกิจ การเมือง รัฐธรรมนูญถูกสร้างขึ้นมีเจตนาเพื่อสืบทอดอำนาจ และการชุมนุมถูกคุกคาม จับกุม คุมขังอย่างไม่เป็นธรรมคณะประชาชนที่ประกอบด้วย อดีตนักการเมือง นักการทหาร อดีตข้าราชการระดับสูง นักวิชาการ นักธุรกิจ ขอแสดงจุดยืน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีต่อประเทศถึงเวลานายกฯต้องเสียสละด้วยการลาออกเพื่อให้บ้านเมืองเกิดการแก้ไขตรงกับสาเหตุ เพราะท่านเป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง รั้งจะนำไปสู่การบานปลายของสถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาการลาออกจากนายกฯ เพื่อใช้กลไกในรัฐสภาลงมติเลือกนายกฯ (รายชื่อนายกฯ ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ประกอบด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์) ขอให้สมาชิกวุฒิสภาโหวตอย่างเป็นอิสระหรืองดออกเสียงหากไม่มีผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่เหมาะสม ก็เปิดประตูให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือกบุคคลที่อยู่นอกบัญชีรายชื่อด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภารัฐบาลใหม่อยู่ตามเทอมของรัฐสภาชุดนี้มีภารกิจหลักส่งเสริมให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญของประชาชน ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญโดยใช้เวลาไม่นานร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ประชามติผ่าน ยุบสภา เลือกตั้งใหม่แถมรัฐบาลต้องปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมจากการชุมนุมในช่วงที่ผ่านมาอย่างไม่มีเงื่อนไข หากดำเนินคดีต้องเลือกกรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่ามีการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและหากสามารถใช้หลักรัฐศาสตร์นำหลักนิติศาสตร์ตามสถานการณ์ โดยเน้นความสงบของบ้านเมืองเป็นหลักข้อเสนอทั้งหมดเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าหากย้อนกลับไปถึงเหตุความขัดแย้งและรัฐประหารตั้งแต่ปี 49 ถึงปัจจุบันมันกินเวลานานมากเกินไป ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ มีประเทศไทยเป็นผู้แพ้ฝ่ายเดียว ขณะนี้สถานการณ์การชุมนุมเท่าที่ติดตาม มีความเป็นห่วงลูกหลาน ไม่อยากเห็นความสูญเสียอีกต่อไป ถึงวันนั้นประเทศจะอยู่อย่างไร จึงคิดหาวิธีลดดีกรีความรุนแรง เอาน้ำมันออกจากเปลวไฟ ในที่สุดตัดสินใจเป็นโจทก์ร่วมกับนายวัชระ เพชรทอง ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในฐานความผิดละเมิดและเพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพราะนายกฯเป็นผู้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่เข้าเงื่อนไขนิยามคำว่าฉุกเฉิน ไร้ปัจจัยที่ประกาศได้ เฉกเช่น พล.ต.อ.สุวัฒน์นำตำรวจเข้ามาดูแลม็อบให้ใช้กฎหมายแบบสมานฉันท์ ไม่ใช่เข้าปราบปรามที่สำคัญ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มีสภาพบังคับ และยังเป็นชนวนกระตุ้นให้คนออกมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 28 ต.ค.นี้ เวลา 13.30 น. และยังดีที่นายกฯ ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงทางออกของประเทศนับจากนี้แม้เปิดประชุมรัฐสภาในวันที่ 26-27 ต.ค. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นหาทางออก วันนี้ควรมีเวทีให้ทุกกลุ่มได้พูดคุยกันถึงตะกอนของแต่ละกลุ่ม ในการพัฒนาประเทศ อาจเริ่มจากการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ยกเลิกกฎหมายที่ล้าหลังการแก้รัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกัน เป็นไปได้หรือไม่ ให้แต่ละกลุ่มยกร่างขึ้นมา จากนั้นเปิดให้หารือพิจารณาร่างออกมาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนถึงเวลาคนไทยปลดล็อกความคิด หาทางออกโดยสันติ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างน้อยควรออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ยกเว้นคดีทุจริต หากไม่นับหนึ่งทำในวันนี้ โปรแกรมความคิดขัดแย้งย่อมตกสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของแต่ละฝ่ายระยะยาวทำให้ประเทศไทยล่มสลายได้การบริหารบ้านเมืองบนความขัดแย้ง ผู้มีอำนาจควรรับฟังให้มาก เพื่อรับรู้ความต้องการของแต่ละฝ่าย จุดชี้ขาดในสถานการณ์ต้องรับฟังความคิดเห็น ก่อนพิจารณาถึงการเปิดเจรจาอย่างไร ปรับแก้ด้วยความรวดเร็วฉะนั้นผู้มีอำนาจควรให้โอกาสเด็ก เยาวชนที่มีพื้นฐานรักตัวเอง รักพี่น้อง รักชาติบ้านเมือง ได้คิด ได้พูด และลงมือทำ เพราะเยาวชนคือคนสร้างชาติในอนาคตโดยเฉพาะนายกฯ ควรใช้โอกาสนี้ดึงคนไทยรวมพลังขับเคลื่อนประเทศและยิ่งตอนนี้นายกฯ และกลุ่มราษฎรบินขึ้นไปสูงมากทุกฝ่ายควรหาลานบินให้ลงจอด เปิดเวทีเจรจาออกจากทางตันต้องทำผ่านระบบรัฐสภาเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน.ทีมการเมือง