การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเยาวชน-ประชาชนปลดแอกยังขับเคลื่อนปักธงเรียกร้องประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ ที่เปลี่ยนชื่อใหม่ในนาม “คณะราษฎร 2563” มุ่งเน้นการชุมนุมแบบ “นิวนอร์มอล” ด้วยความสงบสันติ และไม่ปราศรัยปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงกลายเป็นกระแสร้อนแรงกันมากในหมู่ “นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่” ต่างออกมาร่วม “แสดงพลังอันบริสุทธิ์กัน” อย่างล้นหลาม ภายใต้สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ และเสรีภาพในการรวมตัว ที่มีรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญและกรอบของกฎหมายปัจจัยสาเหตุอาจมาจาก “การเมืองไทย” คุกรุ่นลุกลามไปสู่เยาวชน ประกอบกับมี “ความขัดแย้งดั้งเดิม” นับวันยิ่งแบ่งข้างแบ่งขั้วกัน ทำให้ “คนรุ่นใหม่” ฝ่ายที่มีความรู้สึกไม่ทนอีกต่อไป ต้องออกมาเคลื่อนไหวกัน ที่มีการจัดกิจกรรมรูปแบบดาวกระจายใน “ระดับภูมิภาค” คู่ขนานกับ “เวทีชุมนุมของส่วนกลาง”เพื่อเรียกร้องให้ประชาธิปไตย ความยุติธรรม มีการเปลี่ยนแปลงนำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นสาระแก่นหลักๆ...“คณะราษฎร 2563” มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลาออก เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบัน จากเดิมเคยเรียกร้องในนาม “กลุ่มประชาชนปลดแอก” ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยุบสภา และหยุดคุกคามประชาชนกระทั่งในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 “กลุ่มคณะราษฎร 2563” ก็มีการนัดชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้รถติดเครื่องขยายเสียงเป็นเวทีปราศรัยชั่วคราว ก่อนเคลื่อนย้ายฝ่าทะลวงด่านสกัดของตำรวจเข้ามาล้อม “ทำเนียบรัฐบาล” ประกาศปักหลักพักค้างคืน 3 วันเป็นอย่างน้อย... แต่รุ่งเช้าราว 04.30 น. “ตำรวจ” ก็เข้าสลายการชุมนุมสามารถ “ยึดพื้นที่” ด้านนอกทำเนียบรัฐบาลคืนจาก “คณะราษฎร 2563” ได้สำเร็จในเวลาไม่ถึง 2 ชม. พร้อมจับกุมตัวแกนนำคนสำคัญอย่างน้อย 22 คน ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในท้องที่กรุงเทพฯทำให้ต้องมีการตั้ง “แกนนำคณะราษฎร 2563 รุ่น 2” เข้ามาทำหน้าที่แทน “แกนนำรุ่น 1” เพื่อแสดงจุดยืนจัดการชุมนุมต่อ “บริเวณแยกราชประสงค์” มีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงโค่นล้มอำนาจเผด็จการ ในการนี้ “ทีมข่าวสกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสเข้าไปสัมผัสบรรยากาศการชุมนุมครั้งนี้ส่วนใหญ่คงเป็นเยาวชน นักเรียน นักศึกษาสถาบันต่างๆ หลั่งไหลเข้าร่วมเต็มพื้นที่ที่มีแกนนำรุ่นที่ 2 สลับกันขึ้นรถกระจายเสียงปราศรัยโจมตีการใช้อำนาจของรัฐบาล สามารถเรียกเสียงเฮจากมวลชนเป็นระยะ ในส่วน “ผู้ชุมนุม” ก็ต่างมีการเตรียมสิ่งของอำนวยความสะดวกและปกป้องตัวเองพกพามาด้วยเช่นกันยกตัวอย่างเช่น...น้ำดื่ม ยาดม รวมถึงหมวก ร่ม พัด เก้าอี้พับได้ ในการนี้ได้คุยกับ “น้องโฟร์” อายุ 21 ปี นักศึกษาแห่งหนึ่ง บอกว่า ตั้งใจมาร่วมชุมนุมครั้งนี้ เพราะได้ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวในการนัดชุมนุมแต่ละครั้งผ่านเพจเยาวชนปลดแอก-Free YOUTH มาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็มาพูดคุยกับเพื่อน นัดช่วงเวลาเจอกันด้านความเคลื่อนไหว “ในมหาวิทยาลัย” ก็มีนักศึกษาเฉพาะกลุ่มชื่นชอบการเมืองเท่านั้นที่พูดคุยเกี่ยวกับการชุมนุม แต่บางคนที่ไม่สนใจ หรือไม่เห็นด้วย ก็ไม่คัดค้านห้ามคนอื่นออกมาชุมนุม เพราะถือว่า “เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน” สามารถออกมาแสดงความคิดเห็นเรียกร้องตามกรอบกฎหมายได้ถ้าวันใด...“การชุมนุมตรงวันเรียนหนังสือ” ก็จะต้องไปเรียนก่อน และใช้เวลาเลิกเรียนนัดกับเพื่อนออกมาร่วมชุมนุม ที่ต้องขออนุญาตแจ้งครอบครัวทราบทุกครั้ง แต่มักอยู่ไม่ดึกมาก เพราะมีข้อจำกัดเกรงว่า “ครอบครัวห่วง” และยังต้องรีบกลับบ้านพักผ่อนเตรียมตัวตื่นเช้าไปโรงเรียนอีก ส่วนการเตรียมตัวอาจต้องศึกษาพื้นที่เส้นทางสัญจรต่างๆ เพื่อเป็นหนทางหนีทีไล่หากเกิดเหตุชุลมุน โดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ และ Power Bank ต้องชาร์จให้เต็ม ส่วนเครื่องแต่งกายจะเตรียมเฉพาะที่จำเป็น อาทิ หมวกกันแดด พัด น้ำดื่ม เงินสดไว้หาซื้อของกิน โดยเฉพาะร่ม หรือเสื้อกันฝน เพราะช่วงนี้มีฝนตกบ่อยๆส่วน “รองเท้า” เลือกรองเท้าแตะรัดส้น สามารถเดินวิ่งได้สะดวกระดับหนึ่ง เพราะเกรงฝนตกทำให้รองเท้าเปียกแฉะอับชื้น อาจส่งผลใส่ไม่สบาย แม้ว่า “แกนนำ” จะแนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบก็ตามทว่า...“ความรุนแรง” ก็มีโอกาสเกิดปะทะในระหว่างการชุมนุมนี้ ก็มักพยายามป้องกันตัวเองด้วยการประเมินสถานการณ์ติดตามข่าวสารตลอด เมื่ออยู่ในพื้นที่ชุมนุมแล้วก็อาจสังเกตทางหนีทีไล่ไปด้วย เช่น เดินสำรวจจุดเต็นท์พยาบาล ห้องน้ำ แหล่งน้ำสะอาด หน่วยรักษาความปลอดภัย ช่องทางหลบหนีที่ใกล้...สะดวกที่สุดความรู้สึกก็อยากให้ทุกฝ่ายใจเย็น ไม่อยากให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นมีผู้บาดเจ็บหรือการสูญเสียขึ้น เพราะทุกคนก็คือคนไทย ควรหันหน้ามาคุยกันดีกว่า ในส่วนความรุนแรงก็ไม่ใช่ทางเลือกสู่ทางออกที่ดีแน่นอน“ผมอยากเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบ เพราะตอนนี้ล้มเหลว ควรคัดเลือกบุคคลที่ดีมีความสามารถเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าโง่ เพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศในอนาคต โดยเฉพาะระบบการศึกษา ต้องปรับหลักสูตรให้มีความทันสมัยกว่านี้” น้องโฟร์ว่าเช่นเดียวกับ “น้องเอิง” นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เล่าว่า เริ่มสนใจติดตามความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ออกมาเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยไม่นานมานี้ ส่วนใหญ่ติดตามผ่านทางทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก ก่อนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันในกลุ่มเพื่อนๆ และตัดสินใจมาร่วมชุมนุมครั้งนี้สำหรับการเตรียมตัว...ก็พกเสื้อกันฝน น้ำดื่ม เป็นปัจจัยหลัก แต่ไม่คิดว่าจะมีเหตุความรุนแรงขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นที่ต้องเตรียมอุปกรณ์ป้องกันด้านนี้มาด้วย เพราะหลายครั้งในการชุมนุมเยาวชนปลดแอก ไม่เคยมีเหตุการณ์ยั่วยุถึงขั้นเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้รู้สึกปลอดภัยระดับหนึ่ง จนมาถึงเหตุการณ์ตำรวจใช้รถฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม ในการสลายการชุมนุมกลุ่มคณะราษฎร 2563 ที่แยกราชประสงค์ ถือเป็นเรื่องไม่คาดคิดมาก่อน ทำให้รู้สึกตกใจมาก และรีบกลับบ้านทันที...ประเด็น...การชุมนุมจะทำให้เกิดโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่นี้ เชื่อว่า “ประเทศไทย” มีมาตรการป้องกันควบคุมอย่างเข้มข้นดีทุกด่าน ทำให้ไม่มีผู้ติดเชื้อหลงเหลือเป็นพาหะนำเชื้อแพร่กระจายได้ในประเทศแน่นอน ในระหว่างการชุมนุมเพื่อความไม่ประมาท ก็ยังสวมใส่หน้ากากอนามัย และพกเจลล้างมือแอลกอฮอล์อยู่ตลอด“ตอนนี้อยากให้ปรับการบริหารด้านเศรษฐกิจใหม่ เพราะมีความสำคัญกับการสร้างงาน สร้างอาชีพ รวมถึงการแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้น” น้องเอิงว่าตอกย้ำด้วย “น้องลูกปัด” บอกว่า ปัจจัยสำคัญในการชุมนุมครั้งนี้ คือ เตรียมอุปกรณ์สื่อสาร มีการดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์ และเบอร์โทรศัพท์ในยามฉุกเฉินติดตัวไว้ มีการเตรียมใส่เครื่องแต่งกายที่จำเป็น อาทิ หมวกกันแดด แว่นตา ส่วนอาหารการกินไม่ลำบาก เพราะในพื้นที่ชุมนุมมีอาหาร น้ำดื่มอยู่มากมายยกเว้น “ห้องสุขา” ค่อนข้างมีน้อยมากๆ ทำให้เวลาปวดเบา ปวดหนัก มีความลำบากในเรื่อง “ความรุนแรง” มองว่า “ไม่น่ามีเหตุอันตราย” เพราะการชุมนุมยุค 2563 ต่างจากยุค 2516 ที่มีระบบการสื่อสารรวดเร็วไร้พรมแดน หาก “เจ้าหน้าที่รัฐ” มีปฏิบัติการนำไปสู่ “ความรุนแรง” อาจต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนครบทุกด้าน มิเช่นนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างจะถูกส่งเข้าไปอยู่บน “โลกออนไลน์” ที่ทุกคนได้เห็นพร้อมกันทั่วโลกผลตามมา...คือ “นานาชาติ” อาจประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา ในการใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้ความรุนแรงของรัฐในครั้งนี้ เช่น เหตุสลายการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา แยกราชประสงค์ ที่คนทั่วโลกได้รู้เห็นเหตุการณ์นี้ไปพร้อมกันแล้ว... นี่คือ...“เสียงของเยาวชน” สะท้อนมุมมองปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ใต้พรมหมักหมมมานาน เพื่อให้ “ผู้ใหญ่” ได้ยิน รับรู้อย่างแท้จริง และนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าในอดีต.