ทุกครั้งที่สำนักพยากรณ์เศรษฐกิจต่างๆออกมาทำนายทายทักเศรษฐกิจไทยว่าจะชะลอลงจะแย่ลงทั้งในปีนี้และปีหน้านั้นมักจะเอ่ยถึง “ดาวร้าย” หรือ “ผู้ร้าย” 2 ตัวคู่กันไปเสมอๆดาวร้ายตัวแรกก็คือ สงครามการค้า ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนชะลอตัวลง มีผลกระทบทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรงดาวร้ายตัวที่สองก็คือ ค่าเงินบาท ที่แข็งเกินเหตุจนทำให้สินค้าไทยแพงขึ้น คนมาเที่ยวเมืองไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น นับเป็นปัญหาอุปสรรคใหญ่หลวงที่ทำให้สินค้าไทยขายลดลง และคนมาเที่ยวประเทศไทยลดลงรายงานล่าสุดของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เมื่อ 2 วันที่แล้วก็พุ่งนํ้าหนักไปที่ “ดาวร้าย” ทั้ง 2 ตัวนี้ (ขออนุญาตเรียกเป็นตัวแบบเราดูละครทีวีหรือดูลิเกที่เรามักจะเรียกนักแสดงต่างๆว่าตัว)ผมอ่านแล้วก็อดคิดถึงความหลังเสียมิได้ตามประสาผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะชอบมองอะไรย้อนหลังอยู่เสมอในกรณีสงครามการค้านั้นถือเป็นดาวร้ายเกิดใหม่ คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นชินนัก เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ค่อยเกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้นแต่ยังไม่มีผลกระทบที่รุนแรงมาถึงเมืองไทยตรงข้ามกับ “ค่าเงินบาทแข็ง” ที่เราคุ้นชินอย่างดี และมีประสบการณ์มามากจนยอมรับในที่สุดว่า “ค่าเงินบาทแข็ง” เป็นตัวร้ายสำคัญตัวหนึ่งของเศรษฐกิจที่ผมใช้คำว่ามีประสบการณ์มามากก็เพราะกว่าคนไทยจะยอมรับว่า “ค่าเงินบาทแข็ง” เป็น “ผู้ร้าย” นั้น นักเศรษฐศาสตร์ นักการคลัง รวมไปถึงรัฐบาลในบางยุคบางสมัยด้วย ต้องพบกับความเจ็บปวด ความบอบชํ้าอย่างสาหัสไปตามๆกันเหตุเพราะในทัศนะของคนไทยรุ่นเก่า รวมทั้งสื่อมวลชนรุ่นเก่าๆ ด้วย มักจะมองว่า “ค่าเงินบาทแข็ง” เป็นพระเอก ดังนั้นเมื่อรัฐมนตรีคลังท่านใด หรือรัฐบาลใดมาทำให้ค่าเงินบาทแข็งน้อยลง หรือทำให้จาก “แข็ง” เป็น “อ่อน” จึงมักจะถูกประท้วง ถูกวิจารณ์ ถูกตัดพ้อต่อว่าอย่างเจ็บปวดและเสียๆหายๆคนไทยยุคก่อนมีความเชื่อว่า “เงินบาทแข็ง” เป็นศักดิ์ศรีของชาติ และภูมิใจว่าเงินของเราต้องมีอะไรดีจึงแข็งกว่าคนอื่นๆรัฐมนตรีในอดีตที่ต้องการจะสังหารพระเอกตัวนี้คือ ทำให้ค่ามันอ่อนลงนั้นอาจจะมีหลายท่าน แต่เท่าที่ผมจำได้แม่นที่สุดก็คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ดร.ไพจิตร เอื้อทวีกุลท่านอาจารย์ไพจิตรมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2524 ซึ่งช่วงนั้นประเทศไทยเริ่มมีปัญหาขาดดุลการชำระเงินอย่างหนัก จำเป็นที่จะต้องลดค่าเงินบาทเพื่อแก้ปัญหาอาจารย์ไพจิตรถูกถล่มหนักในฐานะเป็นตัวตั้งตัวตีในการลดค่าเงินบาทครั้งแรก โดยเฉพาะสื่อยุคนั้นเขียนรุนแรงหลายวันติดกันท่านอาจารย์ก็ขมขื่นแต่ก็อดทนอดกลั้นให้อภัยสื่อทุกสื่อ ยกเว้นนักเขียนข่าวสังคมชื่อดังรายหนึ่ง ที่อาจารย์ไม่ยอมให้อภัย ฟ้องหมิ่นประมาท และตั้งใจจะให้ศาลพิจารณาโทษถึงที่สุด หนักถึงขั้นจำคุก ซึ่งเรื่องก็ดำเนินไปถึงศาลฎีกาแล้ว แต่จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ ท่านอาจารย์ก็ยอมถอนฟ้องในชั้นฎีกาให้ ทำให้นักเขียนข่าวสังคมรอดจากถูกจำคุกไปเหตุที่อาจารย์ไพจิตรตัดสินใจฟ้องก็เพราะนักเขียนข่าวสังคมท่านนี้เขียนว่า ท่านไปรับแผนมาจากญวน เพื่อทำลายเศรษฐกิจไทย ซึ่งท่านอาจารย์บอกว่า ด่าผมว่าโง่ หรืออะไรอื่นผมรับได้ทั้งหมดแต่มาด่าว่าผมรับแผนญวน (ซึ่งสมัยนั้นเป็นคอมมิวนิสต์และเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของไทย) มาทำลายไทย ผมยอมไม่ได้เด็ดขาดเห็นหรือยังล่ะครับว่า “เงินบาทแข็ง” ในยุคโน้นเป็นพระเอกขนาดไหน และ “เงินบาทอ่อน” เป็นผู้ร้ายขนาดไหนในห้วงเวลาเดียวกันจนกระทั่ง ต่อมาเมื่อการลดค่าของอาจารย์ไพจิตรเอาไม่อยู่ ปู่ สมหมาย ฮุนตระกูล ซึ่งเป็น รมว.คลังจึงลงมือเองเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์คืน “ลอยกระทง” ที่ท่าน พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ออกมาให้สัมภาษณ์ตำหนิการลดค่าเงินอย่างรุนแรงทางโทรทัศน์จนลือกันไปทั้งคืนว่าจะมีการปฏิวัติโชคดีว่าป๋าเปรมท่านสยบเหตุการณ์ได้ และต่อมาการลดค่าเงินก็สัมฤทธิผล เศรษฐกิจไทยโตเอาโตเอา เป็นเสือตัวใหม่แห่งเอเชียนั่นแหละคนไทยถึงได้เข้าใจว่า “เงินบาทอ่อน” ต่างหากที่เป็นพระเอกตัวจริง และ “เงินบาทแข็ง” คือผู้ร้ายตัวฉกาจนับแต่นั้น และออกมาต่อต้านเงินบาทแข็งกันอุตลุดในขณะนี้.“ซูม”