เป็นเรื่องราวน่าห่วงโมเดลพฤติกรรม “ชุบตัวใหม่ในคราบเดิม” ของธุรกิจอาหารเสริมบางกลุ่มที่เจ้าของนิยมใช้ “ต้นทุนต่ำ” แต่ “โฆษณาเกินจริง” เกินขอบเขตกฎหมาย ผิวขาวใน 7 วัน น้ำหนักลดใน 14 วันสรรพคุณราวกับปาฏิหาริย์แต่ส่วนผสมไม่ตรงกับสารสกัดที่ใส่จริง เมื่อถูกตรวจพบจับได้ เจอสารอันตราย “ไซบูตามีน” สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การหยุด เปลี่ยนชื่อแบรนด์ ใช้ “นอมินี” เป็นฉากบังหน้ากลับมาทำตลาดใหม่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผู้ร้องเรียนถึงรูปแบบ “ธุรกิจอาหารเสริม” ว่าเคยเห็นเป็นข่าวคนดังมาร้อง หน่วยงานจับกุมหรือแจ้งเตือนผู้บริโภคว่าตรวจพบสารผสมอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ข่าวหายไม่นาน เห็นคนขายกลุ่มเดิม ระบบเดิม วิธีเดิมบางรายใช้โปรโมชัน ดึงตัวแทนจำหน่าย เข้าข่ายระบบ “แชร์ลูกโซ่” ไม่ตรงหลักเกณฑ์ยื่นไว้กับ สคบ. หรือบางแบรนด์ ไม่คิดยื่น สคบ. ตั้งแต่ต้น เพราะมี “นายหน้า” มาอ้างตัวแทนฝ่ายขายเคลียร์ได้ทุกหน่วยงานเป็นสิ่งที่ทำได้จริง เพราะตัวอย่างสินค้า “แบรนด์ดัง” ที่มีปัญหาตรวจสอบสารอันตรายกลับมาขายได้ทั้งหมดนี้ไม่เพียงขัดจริยธรรมแต่ยังขัดต่อกฎหมาย คุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งห้ามโฆษณาอวดอ้างเกินจริง และกฎหมายอาหารที่ห้ามใช้สารต้องห้ามเด็ดขาด คำถามคือ กฎหมายมีใช้แต่คนที่บังคับใช้กฎหมายทำอะไรกันอยู่ต้องมีคนตายก่อนเหมือนบทเรียนในอดีต “วัวหายล้อมคอก” ถึงจะลุกขึ้นตรวจสอบกันจริงจังเสียทีคนร้องบอกว่ายิ่งน่าห่วง การโฆษณาเกินจริงเหล่านี้ตามสื่อออนไลน์ มีทั้งแพทย์ ดาราเป็นพรีเซนเตอร์ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย สุดท้ายผู้บริโภค คือผู้รับความเสี่ยงไว้เองทั้งหมดรูปแบบการขายอาหารเสริมแบบนี้บางตัว รูปแบบทำไม่ต่าง “ธุรกิจสีเทา” รายที่มีปัญหาถูกจับไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนป้าย เปลี่ยนหน้าโฆษณา แต่ยังคงสารที่มีความอันตรายกับผู้บริโภคอยู่เช่นเดิมถามว่าถึงเวลาคุ้มครองผู้บริโภคกันแล้วหรือยัง.“เพลิงพยัคฆ์”pluengpayak@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “เลขที่1 วิภาวดีฯ” เพิ่มเติม